CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

นักโบราณคดีพบ “ส้วมซึม” อายุกว่า 600 ปี ที่ผ่านการดัดแปลง จนกลายเป็นห้องใต้ดินสุดหรู

ตั้งแต่ที่แหล่งโบราณคดี “ส้วมซึม” แห่งใหม่ถูกค้นพบในพื้นที่ลอนดอน เมื่อปี 2019 นักโบราณคดีจากพิพิธภัณฑ์โบราณคดีลอนดอน (MOLA) ก็ได้เข้ามาทำการสำรวจสิ่งก่อสร้างเล็กๆ แต่สำคัญทางประวัติศาสตร์ชิ้นนี้เรื่อยมา

 

 

จากการตรวจสอบจนถึงปัจจุบัน ทีมนักโบราณคดีได้มีโอกาสค้นพบวัตถุโบราณที่มีค่าเป็นจำนวนมาก ในพื้นที่ที่ควรจะเป็นเพียงส้วมซึมที่มีแต่อุจจาระของมนุษย์เหล่านี้ ซึ่งทำให้เมื่อนำการค้นพบดังกล่าวไปอ้างอิงกับร่องรอยอื่นๆ แล้ว นักโบราณคดีก็ค้นพบความจริงเพิ่มเติมว่า

สถานที่แห่งนี้ในอดีต น่าจะเคยผ่านการดัดแปลงมาก่อนในอดีต ซึ่งทำให้มันไม่ได้เป็นเพียงแค่หลักฐานโบราณของส้วมซึมในอดีตเท่านั้น แต่ยังเคยเป็นห้องใต้ดินสุดงดงามด้วย (แม้ว่าจะยังมีส้วมในห้องใต้ดินที่ว่าอยู่ก็ตาม)

 

 

อ้างอิงจากขึ้นมูลการค้นพบส้วมซึมแห่งนี้ เคยถูกใช้งานและผ่านการปรับปรุงในช่วงศตวรรษที่ 14-15 โดยมันมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ด้วยความกว้าง 4.5 X 4.5 เมตร และลึกถึง 4 เมตร (ซึ่งก่อนจะถูกปรับปรุงอาจจะลึกกว่านี้ด้วย)

หลุมดังกล่าวถูกสร้างขึ้นด้วยอิฐปูนขาว และในอดีตน่าจะเคยมีที่นั่งคลุมไว้ด้านบนอีกที เพื่อให้แขกที่มาพักในโรงแรม Chester Inn ซึ่งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงใช้งาน และดูจากการที่มันถูกทำความสะอาดอยู่เรื่อยๆ มันก็มีความเป็นไปได้ว่าตัวส้วมซึมนั้น จริงๆ แล้วอาจจะมีการใช้งานมานานกว่าที่เราคิดอีก

 

ภาพ 3 มิติของหลุมส้วมซึมในอดีต

 

ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปถึงช่วงศตวรรษที่ 17 ส้วมซึมแห่งนี้ก็ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นห้องใต้ดินโดยคนในพื้นที่ ด้วยการนำอิฐจำนวนมากมาวางเป็นพื้นหนาหลายชั้นโดยมีชั้นบนสุดถูกวางลงไปในช่วงศตวรรษที่ 18  ในขณะที่ส่วนทำธุระส่วนตัวถูกย้ายไปอยู่ในมุมเล็กๆ ด้านหนึ่งของหลุมในช่วงศตวรรษที่ 19 อีกที

การต่อเติมหลากหลายครั้งนี้ เก็บเอาหลักฐานในแต่ละยุคเอาไว้เป็นจำนวนมากทั้ง แหวนทองคำ เดือยเหล็กสำหรับขี่ม้า ส้อม ชามเคลือบ แก้วใส่หมึก หรือแม้แต่กระเบื้องยุคกลางที่มีภาพของ “สิ่งมีชีวิตในตำนานแปลกๆ ที่มีหัวมนุษย์และหางเหมือนใบไม้”

 

บางส่วนของ สารพัดวัตถุโบราณที่ถูกพบในหลุม

 

ซึ่งการค้นพบทั้งหมดนี้ ก็ทำให้ส้วมซึมธรรมดาๆ ในอดีต กลายเป็นแหล่งขุมทรัพย์ทางโบราณคดีไปได้ไม่ยากเลย

 

ที่มา livescience


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น