ย้อนกลับไปในปี 1990 ทีมนักโบราณคดีของสหรัฐอเมริกา ได้ทำการค้นพบสุสานโบราณจากช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ภายในพื้นที่เมืองกริสโวลด์ รัฐคอนเนตทิคัต
ที่นั่นพวกเขาได้มีโอกาสพบกับโครงกระดูกแปลกๆ ร่างหนึ่ง ซึ่งมีร่องรอยการถูกขุดขึ้นมาและฝังกลับลงไปใหม่ในโดยวางกะโหลกและแขนขาไว้เหนือซี่โครง แถมยังมีการเปลี่ยนโลงศพจากไม้ธรรมดา ไปเป็นโลงศพหินที่หนักอึ้ง อันเป็นลักษณะของการฝังศพคนที่ถูกสงสัยว่าเป็นแวมไพร์ในสมัยนั้น
ลักษณะสุดแปลกนี้เองทำให้ทีมนักโบราณคดี ตัดสินใจตั้งชื่อให้โครงกระดูกนี้ว่า “JB-55” ซึ่งมาจากอายุตอนที่เขาเสียชีวิต บวกกับอักษรย่อบนหลุมศพ ก่อนที่จะปล่อยโครงกระดูกของชายคนนี้ไว้โดยที่ไม่มีข่าวอะไรเพิ่มเติมเป็นเวลายาวนานเกือบ 30 ปี
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักโบราณคดีของพิพิธภัณฑ์สุขภาพและการแพทย์แห่งชาติ ในซิลเวอร์สปริง รัฐแมริแลนด์ ได้มีการออกมาบอกว่าพวกเขานั้น สามารถไขปริศนาของ JB-55 ได้แล้ว หลังจากที่ชายคนนี้เสียชีวิตไปกว่า 200 ปี
อ้างอิงจากข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ JB-55 นั้นไม่ใช่โครงกระดูกของแวมไพร์อย่างที่คนสมัยก่อนสงสัย กลับกันเขานั้นยังเป็นเพียงแค่ชาวนาโชคร้ายที่ในอดีตเคยกระดูกไหปลาร้าหักและได้รับการรักษาที่ไม่ดี มีอาการข้อเข่าอักเสบ แถมยังเป็นวัณโรครุนแรงจนทิ้งรอยโรคไว้ที่กระดูกซี่โครงอีก
เป็นไปได้ว่าลักษณะการเจ็บป่วยสารพัดของเขานี้เองซึ่งทำให้เพื่อนๆ และครอบครัวของเขากลัวว่าชายคนนี้อาจจะลุกกลับขึ้นมาเป็นแวมไพร์ก็เป็นได้ ดังนั้นหลุมศพของ JB-55 จึงถูกดัดแปลงไปดั่งที่เห็นในปัจจุบัน
ในสมัยก่อน คนที่เป็นวัณโรคมักจะมีร่างกายซีดแถมยังมีเลือดไหลจากปากบ่อยๆ ซึ่งทำให้บางครั้งพวกเขาก็ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นแวมไพร์
แน่นอนว่าลำพังพบการตรวจสอบที่ออกมานี้เองก็อาจจะนับว่าเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเหล่านักวิทยาศาสตร์แล้ว แต่การยืนยันว่าชายคนนี้ไม่ได้เป็นแวมไพร์นั้นก็ไม่ใช่ความสำเร็จเพียงอย่างเดียวของทีมนักวิทยาศาสตร์ทีมนี้ด้วย
นั่นเพราะนอกจากความจริงเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของชายผู้น่าสงสารคนนี้แล้ว ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ยังมีโอกาสที่จะนำ DNA ของ JB-55 ไปตรวจสอบด้วย ซึ่งการตรวจสอบที่ว่านี้เองก็ทำให้พวกเขาทราบถึงชื่อจริงๆ ของชายที่เสียชีวิตไปด้วย
โดยเมื่อนำข้อมูล DNA ของ JB-55 ไปเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลลำดับวงศ์ตระกูล นักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าชื่อที่เป็นไปได้มากที่สุดของชายคนนี้ก็คือ “John Barber” นั่นเอง
ที่มา livescience, thesun, boston
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น