ในบรรดาวัตถุโบราณมากมายที่ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์บนเกาะเซนต์ลาซารัส ของเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ยังคงมีดาบเก่าแก่รวมอยู่ด้วยเล่มหนึ่ง ซึ่งจากป้ายกำกับบนตัวดาบ มันถูกระบุไว้ว่ามาจากช่วงยุคกลาง และดูจะไม่ใช่อาวุธที่มีความน่าแปลกใจอะไรนัก
แต่ในตอนที่คุณ Vittoria Dall’Armellina นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัย Ca ‘Foscari มีโอกาสได้เข้าชมดาบเล่มนี้ เธอกับรู้สึกว่าดาบที่เห็นมันน่าจะมีความเก่าแก่กว่ายุคกลางอย่างที่มันระบุไว้มาก ดังนั้นเธอจึงติดต่อคนรู้จัก และร่วมกันตรวจสอบดาบเล่มนี้อีกครั้งหนึ่ง
และก็เป็นในตอนนั้นเอง ที่พวกเขาพบว่า ดาบที่พิพิธภัณฑ์เกาะเซนต์ลาซารัสเก็บเอาไว้นั้น แท้จริงแล้วอาจจะมีอายุได้มากถึง 5,000 ปีเลย
คุณ Vittoria Dall’Armellina (ขวา) ผู้สงสัยในตัวตนจริงๆ ของดาบเล่มนี้
อ้างอิงจากรายงานการวิจัย ดาบที่ได้รับการตรวจสอบในครั้งนี้ เป็นดาบที่ถูกพบเป็นครั้งแรก ที่อารามสไตล์อิตาลีบนเกาะเซนต์ลาซารัส พร้อมๆ วัตถุโบราณจำนวนหนึ่งจากยุคกลาง ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มันจะถูกเหมารวมเป็นของจากยุคเดียวกันไปด้วย
อย่างไรก็ตามเมื่อนักวิจัยตรวจสอบดาบที่พวกเขาพบอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่าจริงๆ แล้ว มันมีความใกล้เคียง กับดาบแบบที่ชาวอนาโตเลียเคยใช้ และเคยถูกพบในพื้นที่แหล่งโบราณคดี ราชวัง Arslantepe ของตุรกีตะวันออกเสียมากกว่า
นั่นเพราะเจ้าดาบเล่มนี้ ไม่เพียงแต่จะทำขึ้นจาก สัมฤทธิ์สารหนู (Arsenical bronze) โลหะผสมที่เคยถูกใช้อย่างแพร่หลายก่อนการผสมสัมฤทธิ์ยุคใหม่เท่านั้น แต่ที่สำคัญคือมันน่าจะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น ตั้งแต่เมื่อราวๆ 3,000 ปีก่อนคริสตกาลแล้ว ทำให้ดาบที่ถูกพบในครั้งนี้ กลายเป็นหนึ่งในตัวอย่างของดาบที่เก่าแก่ที่สุดในโลกไปได้ไม่ยาก
น่าเสียดายที่ในปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์จะไม่สามารถบอกได้อีกต่อไปแล้วว่าดาบเล่มนี้เคยถูกใช้โดยใครมาก่อน หรือทำไมมันถึงเดินทางมาอยู่ที่อารามบนเกาะเซนต์ลาซารัสได้
เกาะเซนต์ลาซารัส
อย่างไรก็ตามหากมองกันตามความน่าจะเป็นพวกเขาก็คาดว่าดาบเล่มนี้ ในอดีตน่าจะเคยมีบทบาทสำคัญในการออกรบ หรือในพิธีกรรมทางความเชื่อมาก่อน โดยมันน่าจะถูกนำมาเก็บไว้ที่เกาะในช่วงครึ่งหลังของ ศตวรรษที่ 19 อ้างอิงจากจดหมายที่ถูกเก็บไว้กับวัตถุโบราณ
ซึ่งในกรณีที่จดหมายดังกล่าวเป็นของที่ถูกส่งมาพร้อมดาบจริงๆ ดาบที่ถูกพบในครั้งนี้ ก็จะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่จะมาจากการบริจาคของคนรู้จักของ Ghevond Alishan กวีและนักเขียนชื่อดังที่เดินทางมาจบชีวิตที่เวนิส อีกที
ที่มา ancient-origins, allthatsinteresting และ dailymail
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น