เด็กๆ เป็นวัยที่ตื่นเต้นกับการได้เที่ยวเล่น รักความสนุกสนาน จนบางครั้งเราก็มักเห็นว่า (หรือเคยเป็นเหมือนกัน) เด็กๆ ลืมเลือนหน้าที่ที่ต้องทำเพราะมัวแต่เที่ยวเล่น
แต่กับเด็กอีกหลายๆ คนบังเอิญเกิดมาพร้อมความเสี่ยงที่อาจไม่มีโอกาสได้เที่ยวเล่นอาจจะมองโลกแตกต่างออกไป และพวกเขาก็อาจทำให้เรารู้สึกทึ่งได้ไม่น้อยทีเดียว
เมื่อปี 2012 เด็กชาย Gabriel Smith ชาวรัฐอิลลินอยส์ เกิดมาพร้อมกับอาการป่วยที่เกือบคร่าชีวิตเขาไป (คาดว่าเป็นโรคโลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ) หลังเกิดมาเขาต้องรับการถ่ายเลือดและถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลเด็กทันที
และตลอดขวบแรก Gabriel ก็ยังคงต้องถ่ายเลือดอยู่เป็นประจำ จนในที่สุดแพทย์ผู้ดูแลก็พิจารณาว่าเด็กน้อยต้องได้รับการปลูกถ่ายไขกระดูกเพื่อรักษาโรคที่เป็นอยู่
คนในครอบครัวและชุมชนแถวบ้านต่างก็พากันเข้ารับการทดสอบว่าไขกระดูกของพวกเขาเข้ากับ Gabriel หรือไม่ แต่โชคร้ายที่ไม่มีไขกระดูกของคนไหนเข้ากับเขาได้เลย…
แต่ในปี 2013 พวกเขาก็พบกับไขกระดูกที่เข้ากับ Gabriel จนได้ เจ้าของไขกระดูกคนนั้นมีชื่อว่า Dennis Gutt เป็นเด็กหนุ่มวัย 19 ปี จากประเทศเยอรมนี
ในขณะนั้นทางโรงพยาบาลบอกข้อมูลผู้บริจาคได้เพียงแค่ว่าเป็นเพศชาย อายุ 19 ปี จากประเทศในยุโรป พวกเขาไม่รอช้าปลูกถ่ายไขกระดูกนั้นให้กับ Gabriel ในปีเดียวกัน ตอนนั้นเขาอายุเพียง 14 เดือนเท่านั้น
การปลูกถ่ายผ่านไปอย่างราบรื่น ทำให้เด็กชาย Gabriel รอดชีวิตจากโรคร้ายที่อาจพรากเขาไปจากโลกตลอดกาล และหลังจากนั้น 2 ปี ครอบครัว Smith ถึงได้ทราบชื่อของผู้บริจาคไขกระดูก
ครอบครัวจึงติดต่อหา Dennis ผ่านทางเฟซบุ๊กเมื่อปี 2015 และติดต่อกันเรื่อยมาจนปัจจุบัน จนกระทั่งทาง มูลนิธิ Make-A-Wish Illinois ได้ถามไถ่เด็กชายถึงความปรารถนาของเขา
เด็กชายตอบว่า เขาอยากจะพา Dennis ไปเที่ยวดิสนีย์เวิล์ด แต่พอบอกให้น้องเลือกได้แค่อย่างเดียวว่า จะไปดิสนีย์เวิล์ดหรือพบกับ Dennis เด็กน้อยก็ตอบว่า “ผมอยากเจอคนบริจาค” โดยไม่ลังเล
Make-A-Wish Illinois จึงจัดทริปเชิญให้ Dennis บินจากเยอรมนีมายังสหรัฐอเมริกาเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เขามาพักอยู่กับครอบครัว Smith ใช้เวลาทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยกันมากมาย
ส่วนตัว Dennis เองได้กล่าวว่า เขาบริจาคไขกระดูกตัวเองไปตอนอายุ 18 ปี แล้วก็ไม่รู้เลยว่ามันถูกนำไปใช้ต่อชีวิตให้กับเด็กชาย จนกระทั่งครอบครัว Smith ติดต่อมาหาทางเฟซบุ๊ก
“ผมช่วยชีวิตใครคนหนึ่งเอาไว้ ด้วยการบริจาคบางอย่างในร่างกายที่จะผลิตขึ้นมาใหม่หลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์ ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ ครับ”
หลังจากได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวของ Gabriel อยู่หลายวัน ทั้งไปทานอาหารร้านโปรดของครอบครัว ไปเที่ยวที่ต่างๆ ในเมือง ไปดูเบสบอลด้วยกันที่สนามแข่ง
Gabriel บอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดของสัปดาห์นั้นก็คือ เขาได้พบกับฮีโร่ของเขาและได้ทำอะไรด้วยกันมากมาย ส่วน Dennis เองก็บอกว่า…
“มันเหมือนมีเชือกที่มองไม่เห็น ผูกพันคุณเอาไว้กับครอบครัวที่อยู่ห่างออกไปอีกซีกโลก ผมรู้สึกตั้งแต่วินาทีแรกเลยว่า ผมเป็นครอบครัวเดียวกับพวกเขา”
“เราผูกพันกันทันทีและผมก็หวังว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป นั่นคือความปรารถนาของผมครับ”
เรียบเรียงโดย #เหมียวม่วง
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น