CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

ชม “ปล่องภูเขาไฟอัลวาบา” ปล่องภูเขาไฟสีไข่มุก หนึ่งในที่น่าเที่ยวของซาอุดีอาระเบีย

ลึกเข้าไปในทะเลทรายของซาอุดีอาระเบียราวๆ 254 กิโลเมตรจากเมืองเทฟ ยังมีที่ราบสูงหินบะซอลต์อยู่แห่งหนึ่ง หนึ่งประกอบไปด้วยกรวยภูเขาไฟจำนวนมาก และ “ปล่องภูเขาไฟอัลวาบา” (Al Wahbah) ปล่องภูเขาไฟสีไข่มุกตั้งอยู่ และได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่แปลกและน่าไปเยือนที่สุดของซาอุดีอาระเบียเลย

 

 

ปล่องภูเขาไฟอัลวาบานั้น มีลักษณะเป็นหลุมกว้างขนาด 2 กิโลเมตรที่มีจุดศูนย์กลางถูกย้อมเป็นสีขาวจากผลึกโซเดียมฟอสเฟต (นับเป็นเกลือชนิดหนึ่ง) ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นสิ่งที่หลงเหลือจากแรงระเบิดของภูเขาไฟและทับถมกันเป็นเปลือกหนา จนทำให้ที่แห่งนี้มีสีขาวราวกับเป็นไข่มุกไป

ในอดีตปล่องภูเขาไฟอัลวาบาถูกเชื่อว่าเกิดขึ้นจากการพุ่งชนของอุกกาบาต เนื่องจากที่แห่งนี้มีลักษณะคล้ายหุบอุกกาบาตบาร์ริงเกอร์ของสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนักธรณีวิทยาส่วนใหญ่ได้ยอมรับกันว่าที่แห่งนี้น่าจะมีรูปร่างแบบในปัจจุบันจากกิจกรรมของภูเขาไฟมากกว่า

 

 

เป็นไปได้ว่าที่แห่งนี้จะเกิดขึ้นจากการระเบิดจากใต้ดินของไอน้ำ ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่แมกมาหลอมเหลวสัมผัสกับน้ำใต้ดินอีกที เพราะที่มุมหนึ่งของหลุมใหญ่นี้เองก็ยังคงมีร่องรอยของเถ้าภูเขาไฟซึ่งหลงเหลือมาจากภูเขาไฟในเวลานั้นอยู่เลย

ด้วยความที่หลุมมีรูปร่างเช่นนี้ ในเวลาที่ฝนตกบ่อยครั้งน้ำจะไปขังอยู่ในบ่อโซเดียมฟอสเฟตของตัวปล่องภูเขาไฟ แต่หากไปในช่วงแล้งฝนเราก็จะสามารถมองเห็นตัวบ่อได้ทั้งบ่อเลย

 

 

และนอกจากแปลกแต่งดงามของตัวหลุมและฟอสเฟตสีขาวไข่มุกแล้ว หากเพื่อนๆ ไปเยี่ยมชมที่แห่งนี้ถูกช่วงเวลาเพื่อนๆ ก็อาจจะมีโอกาสได้เห็นพืชสีเขียวเติบโตอยู่รอบๆ ขอบหลุมแห่งนี้ด้วย ซึ่งถือเป็นอะไรที่ค่อนข้างแปลก เพราะทะเลทรายรอบๆ ปล่องภูเขาไฟนั้นล้วนแต่มีสภาพแห้งแล้ง ทำให้ที่แห่งนี้เป็นเหมือนโอเอซิสเล็กๆ ในบางเวลาไปเลย

 

 

ทั้งนี้เอง ในอดีตการจะไปเยี่ยมชมที่แห่งนี้นั้นนับว่าเป็นอะไรที่ยากลำบากมากๆ ด้วยความกันดารและห่างไกลความเจริญของมัน

อย่างไรก็ตามด้วยการพัฒนาของถนนหนทางและจำนวนอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ ในปัจจุบันปล่องภูเขาไฟอัลวาบาก็ได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีคนเข้าไปเยือนเป็นจำนวนมากเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

 

และมันคงจะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าที่ระเบิดครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในพื้นที่และทำให้พื้นที่แห่งนี้เปลี่ยนรูปร่างไปอีกครั้งในอนาคต ซึ่งก็คงต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานเลย

 

ที่มา amusingplanet, atlasobscura

Comments

ใส่ความเห็น