เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2019 ทีมนักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยเวียนนาได้ประกาศการค้นพบโครงกระดูกมนุษย์โบราณสามร่างที่โครเอเชีย ตีพิมพ์ผ่านวารสาร PLOS One ซึ่งในบรรดาโครงกระดูกเหล่านี้ 2 ร่างมีกะโหลกศีรษะที่มีรูปร่างยาวกว่าปกติ จนคล้ายกับเอเลี่ยนไม่มีผิด
โครงกระดูกมนุษย์ทั้งสามร่างถูกพบในแหล่งโบราณคดีชื่อ Hermanov vinograd โดยเป็นของเด็กวัยรุ่นผู้ชายอายุตอนเสียชีวิตอยู่ในช่วง 12-16 ปี
คาดว่าเคยมีชีวิตอยู่ในช่วงคริสต์ศักราชที่ 415-560 และมีร่องรอยของการขาดสารอาหาร แต่ก็ไม่อาจทราบได้ว่านี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาเสียชีวิตจริงๆ หรือไม่
เด็กสองในสามคน มีร่องรอยการถูกดัดแปลงกะโหลกศีรษะด้วยวิธีการภายนอก ซึ่งคนหนึ่งมีกะโหลกศีรษะยาวกว่าปกติจากการถูกพันด้วยผ้าหรือเครื่องประดับแบบพิเศษ
ในขณะที่เด็กอีกคนมีร่องรอยคล้ายการถูกนำไม้กระดานมาติดหรือวางไว้ที่บริเวณหน้าผากจนทำให้กระโหลกมีการเปลี่ยนรูปร่างไปจนคล้ายฝักข้าวโพด
การดัดแปลงกระโหลกศีรษะในรูปแบบนี้แม้ว่าจะเป็นอะไรที่ฟังดูแปลก แต่ก็สามารถพบได้ในแทบทุกพื้นที่ทั่วโลก มักจะเป็นการกระทำเพื่อบ่งบอกว่าคนเหล่านี้มีฐานะทางสังคมแบบพิเศษ
และในปัจจุบันเรามีหลักฐานที่เก่าแก่ที่สุดของการดัดแปลงกะโหลกแบบนี้อยู่ที่ประเทศจีน ซึ่งมีอายุมากถึง 12,000 ปี
น่าเสียดายที่นักโบราณคดีไม่พบหลักฐานใดๆ ที่อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับกับสถานะทางสังคมของเด็กหนุ่มทั้งสามคนเลย เนื่องจากใกล้ๆ สถานที่ค้นพบร่างของเด็กทั้งสามไม่ได้มีวัตถุโบราณสำคัญๆ ฝังอยู่ด้วยแต่อย่างไร
สิ่งที่นักโบราณคดีทราบเกี่ยวกับเด็กทั้งสามคน รู้เพียงแค่ว่าเด็กเหล่านี้ เคยมีชีวิตอยู่ในช่วงการอพยพครั้งใหญ่ (Great Migration Period) ไม่นานหลังจากที่อาณาจักรโรมันล่มสลาย และมี DNA เชื้อสายที่ต่างกัน
โดยเด็กที่กะโหลกไม่ถูกดัดแปลงนั้น มีเชื้อสายของชาวยูเรเชียตะวันตก ในขณะที่เด็กที่กะโหลกคล้ายฝักข้าวโพดเป็นชาวเอเชียตะวันออก (อาจจะเป็นชาวฮัน) และเด็กผู้ถูกดัดแปลงกะโหลกด้วยผ้าหรือเครื่องประดับเป็นชาวตะวันออกใกล้ (กลุ่ม Near East)
คุณ Mario Novak นักชีววิทยาชีวภาพหนึ่งในทีมวิจัยบอกว่า มีความเป็นไปได้ที่ว่าคนในยุโรปสมัยก่อนนั้น อาจจะใช้รูปแบบความผิดปกติของกะโหลกในการบ่งชี้ความเชื่อมโยงของคนกับ “กลุ่มวัฒนธรรม” บางกลุ่ม
อย่างไรก็ตามในปัจจุบันพวกเขากลับไม่สามารถบอกได้เลยว่าเด็กทั้งสามคนนี้ อยู่ในกลุ่มวัฒนธรรมใดกันแน่
ด้วยเหตุนี้เองในปัจจุบันทีมนักโบราณคดี จึงได้ตั้งความหวังว่าพวกเขาจะสามารถค้นพบ โครงกระดูกที่มีรูปร่างแปลกตาแบบนี้เพิ่มเติมอีกครั้ง (โดยเฉพาะของชาวยุโรป) เพื่อที่พวกเขาจะสามารถทำความเข้าใจพิธีกรรมสุดแปลกนี้ให้มากขึ้น แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
ที่มา livescience, dailymail
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น