CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

โบราณสถาน “สโตนเฮนจ์ของอเมริกา” ถูกผู้ไม่หวังดีทำให้เสียหายด้วยเครื่องมือไฟฟ้า

ลึกเข้าไปในพื้นที่ผืนป่าของเมืองซาเลม รัฐนิวแฮมป์เชียร์ สหรัฐอเมริกา ยังคงมีโบราณสถานหินยักษ์ที่ได้ชื่อว่าเป็น “สโตนเฮนจ์ของอเมริกา” ตั้งอยู่

 

 

โบราณสถานแห่งนี้ถูกเชื่อโดยคนบางกลุ่มว่าถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่เมื่อหลายพันปีก่อนโดยชาวยุโรปยุคก่อนโคลัมเบีย ในขณะที่อีกหลายๆ คนมองว่ามันเป็นเพียงแหล่งโบราณคดีปลอม ที่เพิ่งมาถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 20 เท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหน ที่แห่งนี้ก็นับว่าเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของเมืองซาเลมอยู่ดี

ดังนั้นมันจึงนับว่าเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักสำหรับคนในพื้นที่ เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ตำรวจในพื้นที่ได้มีการออกมารายงานว่า แผ่นศิลาบูชายัญในสโตนเฮนจ์ของอเมริกานั้นได้ถูกทำให้เสียหาย โดยใครบางคนด้วยเครื่องมือเจียรไฟฟ้า

 

 

อ้างอิงจากข้อมูลของทางตำรวจ แผ่นศิลาบูชายัญที่กล่าวมานั้น เชื่อกันเป็นแผ่นศิลาที่มีอายุมากถึง 4,000 ปี และในกรณีที่สโตนเฮนจ์ของอเมริกาของอเมริกาถูกสร้างในช่วงยุคก่อนโคลัมเบียจริงๆ แผ่นศิลานี้ก็อาจจะเป็นหนึ่งในแผ่นศิลาที่เก่าแก่ที่สุดในอเมริกาเลย

เจ้าหน้าที่ Joel Dolan กล่าวว่าในวันที่เกิดเหตุเจ้าของพื้นที่ได้พบว่ามีใครบางคนนำไม้กางเขนประหลาดมาแขวนทิ้งเอาไว้ระหว่างต้นไม้สองต้น ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้น เขาจะพบว่าแผ่นศิลาในพื้นที่เองก็ถูกทุบจนล้มด้วยค้อนขนาดใหญ่ ในสภาพที่ถูกสลักข้อความซ้ำลงไปอีกที

เมื่อทำการตรวจสอบไม้กางเขน ทางตำรวจก็พบว่าตัวไม้กางเขนมีรูปของเด็กผู้ชายที่กำลังยิ้ม ภาพวาดด้วยมือของเทพีเสรีภาพ และภาพของชายหนุ่มอีกคนติดเอาไว้

 

 

ในเบื้องต้นทางตำรวจคาดว่าคนร้ายที่นำไม้กางเขนมาทิ้งไว้ น่าจะเป็นคนเดียวกับที่ทำลายแผ่นศิลาบูชายัญ โดยมันมีความเป็นไปได้ว่านี่จะเป็นการกระทำจากความเกลียดชังคนบางกลุ่ม เนื่องจากสโตนเฮนจ์ของอเมริกา ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มต่อต้านองค์กรฟรีเมสัน (สมาคมลับในทฤษฎีสมคบคิดที่มีลักษณะคล้ายอิลลูมินาติ)

นี่นับว่าเป็นอาชญากรรมที่นับว่าค่อนข้างแปลกสำหรับทางตำรวจ ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่อาจตัดความเป็นไปได้หรือแรงจูงใจใดๆ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีทิ้งได้ และในปัจจุบันเองพวกเขาก็กำลังมุ่งเน้นการสืบสวนไปที่การระบุตัวคนในภาพบนไม้กางเขน เพื่อที่จะหาความเชื่อมโยงของคนเหล่านั้นกับเรื่องที่เกิดขึ้นต่อไป

 

ที่มา thevintagenews, unionleader


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น