วิจัยพบ อุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์กำลังลดลง และยังไม่อาจทราบเลยว่าเพราะอะไร

นับตั้งแต่ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ซึ่งนายแพทย์ Carl Reinhold August Wunderlich ได้ค้นพบอุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์ พวกเราก็ใช้อุณหภูมิ 36.9°C ในการตัดสินว่าคนเป็นไข้กันหรือไม่มาตลอด

อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป นักวิทยาศาสตร์ก็ได้คนพบเรื่องแปลกๆ เกี่ยวกับอุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์เข้าจนได้ นั่นเพราะจากการทดลองเมื่อล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบความจริงข้อใหม่ที่ว่า

ในปัจจุบันอุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์เรากำลังค่อยๆ ลดลงเรื่อยๆ โดยที่เรายังบอกไม่ได้เลยว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่

การค้นพบครั้งนี้ เริ่มเห็นได้ค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่ในงานวิจัยวัดอุณหภูมิของชาวอังกฤษ 35,000 รายเมื่อปี 2017 ซึ่งพบว่า

อุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์นั้น ไม่ใช่ 36.9°C อีกต่อไปแต่เป็น 36.6°C ซึ่งนั่นหมายความว่ามนุษย์เรามีอุณหภูมิเฉลี่ยลดลงราวๆ 0.02 °C ทุกๆ 10 ปี ตั้งแต่ปี 1860 เป็นต้นมา

โดยการค้นพบดังกล่าวนี้ ต่อมาได้รับการยืนยันเพิ่มเติมโดยงานวิจัยสมัยใหม่อีกหลายชิ้นตั้งแต่ช่วงปี 2002 ซึ่งทั้งหมดก็ล้วนแต่จะระบุว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์นั้นลดลงไปอยู่ที่ราวๆ 36.5-36.6°C แล้ว

“ไม่ว่าเราจะทำการวิเคราะห์อย่างไรการลดลงก็ยังคงอยู่” คุณ Thomas Kraft จากมหาวิทยาลัย UC Santa Barbara กล่าว

“ต่อให้เราจำกัดการวิเคราะห์ไว้เฉพาะ มากกว่า 10% ของผู้ใหญ่ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่ามีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ เราก็ยังเห็นอุณหภูมิของร่างกายที่ลดลงเท่าเดิม”

อ้างอิงจากคุณ Michael Gurven ศาสตราจารย์ด้านมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน ในเบื้องต้นเขาและผู้เชี่ยวชาญหลายกลุ่มเชื่อว่า

การลดลงของอุณหภูมิเฉลี่ยนี้ เป็นไปได้ว่าจะมาจากการที่ผู้คนมีสภาพร่างกายที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับในอดีต ดังนั้นร่างกายจึงไม่ต้องเร่งอุณหภูมิให้มากนักเพื่อฆ่าเชื้อโรค

หรือไม่ก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการใช้ เครื่องปรับอากาศซึ่งทำให้ร่างกายเราไม่ต้องปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมมากเท่าในอดีต

แม้ว่าข้อหลังนี้จะมีโอกาสเป็นไปได้น้อย เพราะแม้แต่ชาวชีเมเนที่ไม่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง พวกเขาก็มีอุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายที่ลดลงเช่นกัน

ดังนั้น เราคงจะต้องบอกว่าในปัจจุบัน มันยังคงเป็นเรื่องยากที่เราจะระบุได้ชัดเจนว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของร่างกายมนุษย์นั้นลดลงเพราะเหตุใดกันแน่

และการที่เรามีร่างกายที่เย็นลงนี้จะมีผลกระทบสำคัญอะไรหรือไม่เอง ก็ยังคงเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ยังคงต้องการข้อมูลเพิ่มเติมอยู่เช่นกัน

ที่มา iflscience และ sciencemag