เยี่ยงวันหายนะ!! รวมภาพ “ท้องฟ้าแคลิฟอร์เนีย” ลุกไหม้จนเป็นสีส้มแดง หลังเกิดวิกฤตไฟป่ารุนแรง

หากว่าหลายๆ คนยังจำกันได้ เมื่อช่วงวันที่ 8 กันยายน ที่ผ่านมา ในโลกโซเชียลของต่างประเทศได้มีภาพฮือฮากลายเป็นกระแสเมื่อเหตุไฟป่าที่รัฐออริกอน ได้ทำให้ท้องฟ้าในพื้นที่กลายเป็นสีแดงราวกับวันมหาวิปโยคไม่มีผิด

(อ่านเรื่องราวของท้องฟ้าในรัฐออริกอนได้ที่นี่)

แต่เหตุการณ์ไฟไหม้ในวันนั้น จริงๆ แล้วมันกลับไม่ใช่เหตุไฟป่าใหญ่เพียงที่เดียวของสหรัฐอเมริกาแต่อย่างไร เพราะในช่วงเวลาเดียวกัน ในรัฐแคลิฟอร์เนียเองผู้คนก็ต้องพบกับวิกฤตไฟป่ารุนแรง จนท้องฟ้าเปลี่ยนสีเช่นกัน

เหตุการณ์ท้องฟ้าเปลี่ยนสีของแคลิฟอร์เนีย เกิดขึ้นจากคลื่นความร้อนที่เข้าปกคลุมรัฐ ส่งผลให้เกิดไฟดับ ฟ้าผ่า และไฟป่าลุกลามในหลายพื้นที่ เผาทำลายผืนป่าไปอย่างน้อย 6.3 ล้านไร่ โดยเฉพาะในพื้นที่ซานฟรานซิสโก

ไฟป่าที่เกิดขึ้น ทำให้รัฐบาลของแคลิฟอร์เนียถึงขั้นต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ประชาชนจำนวนมากต้องอพยพทิ้งที่อยู่อาศัยของตัวเอง ในขณะที่นักดับเพลิงกว่า 14,000 ถูกเรียกตัวเข้าปฏิบัติการ

อ้างอิงจากข้อมูลที่ออกมา เหตุผลที่ท้องฟ้าของแคลิฟอร์เนียกลายเป็นสีส้มนั้น มาจากการที่ เปลวเพลิงที่เกิดขึ้นได้ทำให้เกิดควันไฟปริมาณมหาศาล ซึ่งลอยตัวขึ้นไปสูงจนบดบังดวงอาทิตย์

ก่อนที่อนุภาคของควันจะกระจายแสงที่เราเห็นตามปกติ จนมีเพียงแสงสีส้มอมแดงเท่านั้นที่จะลอดผ่านมาได้ และทำให้เกิดเป็นท้องฟ้าสีส้มราวกับเป็นบรรยากาศยามเย็น แต่ก็มีสภาพหม่นหมองเพราะฝุ่นควันในเวลาเดียวกันไป

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้แน่นอนว่าต้องทำให้หลายๆ เมืองในแคลิฟอร์เนียจำเป็นต้องต่อสู้กับผลกระทบของไฟตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมืองตามชายฝั่งตะวันตก

“เมื่อเช้านี้ ท้องฟ้ามืดครึ้มและเป็นสีส้ม แสดงให้เห็นว่ายังคงมีควันจำนวนมาก จากไฟที่ยังคงลุกไหม้ทั่วบริเวณชายฝั่งและภูมิภาคอื่น ๆ ของแคลิฟอร์เนีย”

คุณ Jack Broadbent เจ้าหน้าที่บริหารของ Air District ผู้ดูแลคุณภาพอากาศในพื้นที่กล่าว

“แม้ว่าในปัจจุบันควันนี้จะอยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่เราจะได้รับกลิ่นควันไฟ แต่มันก็อาจจะตกลงมาสู่พื้นได้หากสภาพอากาศแปรปรวน ดังนั้น ผู้อยู่อาศัยจึงควรปกป้องสุขภาพของตนเอง โดยการอยู่ในร่มเมื่อมีกลิ่นควัน”

และสำหรับคนที่อยากทราบว่าบรรยากาศในพื้นที่แคลิฟอร์เนียในปัจจุบันเป็นอย่างไร ก็สามารถรับชมความรุนแรงของผลกระทบจากไฟฟ้า ผ่านชุดภาพด้านล่างนี้ได้เลย

.

.

.

.

.

.

.

.

ที่มา sciencealert, timesnownews และ newsweek