ด้วยเหตุที่ว่าโรคภัยไข้เจ็บนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้เสมอกับมนุษย์ มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มนุษย์เราจะพยายามอย่างมากที่จะหาทางรักษาโรคต่างๆ มาตั้งแต่ในอดีต
ปัญหาคือกว่าที่เราจะพบวิธีรักษาโลกต่างได้จริงๆ บ่อยครั้งแพทย์ในอดีตก็ต้องผ่านการลองผิดลองถูกกันมามาก
ดังนั้นเพื่อให้เราทราบกันว่ากว่าที่จะได้การรักษาแบบปัจจุบันมานั้น มนุษย์ต้องผ่านการรักษาแปลกๆ แบบไหนมาบ้าง ในวันนี้เราจะมาชม 11 การรักษาแบบผิดๆ ใน สมัยก่อนกัน
1. รักษาโรคด้วยการรีดเลือด
นี่คือวิรีการรักษาที่มาจากความเชื่อที่ว่าอาการป่วยของมนุษย์เกิดจากของเหลวในร่างกายเป็นพิษ ในช่วงยุคกลาง ซึ่งทำให้แพทย์มักจะ ใช้ปลิงดูด หรือเอามีดกรีดคนไข้ เพื่อเอา “เลือดที่มีพิษ” ออกมาร่างกายคนไข้
การรักษานี้แน่นอนว่าไม่ได้ช่วยให้ผู้คนหายป่วยเลย กลับกันมันยังทำให้ผู้ป่วยอาการหนักกว่าเดิมเพราะขาดเลือดด้วยซ้ำ
2. รักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ด้วยการมีเซ็กส์กับชาย/หญิงบริสุทธิ์
นี่คือการรักษาที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 16 โดยคนในยุคนั้นเชื่อว่า คุณจะย้ายโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไปอยู่กับชาย/หญิงบริสุทธิ์ได้
ความเชื่อนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้โรคติดต่อทางเพศระบาดแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่มันยังนำไปสู่ปัญหาการข่มขืนเด็กอีก ที่สำคัญแม้ในปัจจุบันบางที่ก็ยังเชื่อแบบนี้อยู่เลยด้วย
3. รักษาอาการทางจิตด้วยการเจาะกะโหลก
นี่เป็นอีกหนึ่งในการรักษาที่พบได้ในหลายยุคหลายสมัย และยังเป็นที่สงสัยกันอยู่ว่าเพราะอะไรคนโบราณถึงได้เชื่อกันสุดๆ ว่ามันช่วยรักษาโรคหรืออาการทางจิตได้
เรื่องเดียวที่เรารู้คือมีกะโหลกคนสมัยก่อนมากมายที่ถูกค้นพบว่ามีรูที่เกิดจากการเจาะกระดูก และหลายอันในนั้นก็มีร่องรอยว่าการเจาะกะโหลกนั่นล่ะที่ทำให้พวกเขาตายเสียด้วย
4. รักษาซิฟิลิสด้วยโรคมาลาเรีย
นี่คือความเชื่อเกี่ยวกับการรักษาแบบพิษล้างพิษ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1917 โดยแพทย์จะฉีดเชื้อโรคมาลาเรียเข้าไปในผู้ที่ป่วยเป็นโรคซิฟิลิส และหวังว่าเชื้อของทั้งสองโรคจะทำลายกันเอง
ซึ่งผลของการรักษานี้คือคนไข้ส่วนใหญ่มักจะตายเพราะมาลาเรียแทนนั่นเอง
5. เร่งการฟื้นตัวจากโรคต่างๆ ด้วยน้ำกัมมันตรังสี
นี่คือความเชื่อผิดๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1918-1928 ในสหรัฐอเมริกา โดยในเวลานั้น มีคนนำน้ำละลายสารกัมมันตรังสีมาขายในชื่อ Radithor และอ้างว่ารังสีที่ปล่อยออกมาจากเรเดียมอะตอมจะช่วยรักษาโรคต่างๆ ได้
แน่นอนว่าในความเป็นจริงแล้วน้ำดังกล่าวไม่ได้ช่วยรักษาโรคอะไรเลย กลับกันมันยังสร้างเรื่องด้วยซ้ำ เพราะคนที่ดื่มน้ำดังกล่าวบ่อยๆ ได้ล้มป่วยเพราะมะเร็งร้ายแรงถึงขั้น “คางหลุดออกมา” กันเลย
6. รักษาริดสีดวงด้วยการเอาเหล็กแหลมร้อนๆ แทง
นี่เป็นความเชื่อที่มาจากคำสอนของนักบวชในอดีต ซึ่งบอกว่าโรคริดสีดวงเกิดขึ้นเพราะผู้คนไม่เชื่อในนักบุญ Fiacre (นักบุญของชาวไอริช)
ดังนั้นหากใครไม่เชื่อในนักบุญและมีริดสีดวงนักบวชกลุ่มนี้จะรักษาคนเหล่านั้น ด้วยการเอาเหล็กแหลมร้อนเสียบเข้าไปในรูทวาร ในขณะที่หากใครเชื่อในนักบุญ จะได้ไปนั่งบนหินศักดิ์สิทธิ์แทน (ซึ่งก็ไม่ช่วยอะไรเหมือนกัน)
7. รักษาโรคด้วยปรอท
นี่เป็นการรักษาที่เกิดขึ้นในหลายยุคสมัยของโลก โดยชาวกรีกและเปอร์เซียโบราณมีการใช้ปรอทเหลวเป็นเครื่องทาคล้ายยาขี้ผึ้ง ส่วนชาวจีนโบราณก็มักใช้มันเป็นยาอายุวัฒนะ
อย่างไรก็ตามที่ชวนสยองสุดก็คงเป็นที่ยุโรปในช่วงปี 1500 เพราะพวกเขานั้น รักษาหนองในด้วยการฉีดใส่ท่อปัสสาวะเลยนั่นเอง
8. ลดน้ำหนักด้วยพยาธิตัวตืด
นี่คือการรักษาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20ซึ่งเกิดขึ้นเพราะจากการที่คนมีพยาธิเยอะๆ มักจะ ร่างกายผอม น้ำหนักลดลง
ดังนั้นคนในสมัยนั้นจึงมักกลืนพยาธิให้พวกมันช่วยกินอาหารที่เราทานเข้าไปเพื่อลดน้ำหนักเสียเลย โดยที่ไม่ได้รู้เลยว่าพยาธิตัวตืดนั้นมีผลเสียกับร่างกายมนุษย์แค่ไหน
9. ใช้ที่อุดทวารรักษาอาการปวดหัว
ในสหรัฐอเมริกาช่วงยุค 1890-1940 ที่อุดทวารเคยถูกขายในฐานะยารักษาอาการปวดหัว จากความเชื่อที่ว่า “การขยายขนาดทวาร” สามารถรักษาอาการป่วยหลายอย่างได้
ในช่วงนั้นอุดทวารถูกระบุว่าสามารถรักษาอาการวิกลจริต ปวดหัว โรคโลหิตจาง ริดสีดวงทวาร และโรคอื่น ก่อนที่ต่อมาองค์การอาหารและยาของสหรัฐฯ จะเข้ามาตรวจสอบและพบว่าทั้งหมดที่กล่าวมาไม่มีข้อใดเป็นจริงเลย
10. ใช้สารหนูรักษาโรคสะเก็ดเงิน
ด้วยความที่สารหนูเป็นสารพิษที่ไม่ได้ออกฤทธิ์ให้เห็นทันทีที่ใช้ ในสมัยก่อนจึงมีความเชื่อที่ว่ายาหนูเป็นยารักษาโรคสะเก็ดเงิน โรคซิฟิลิส ฝี เป็นไข้ หรือกระทั่งปวดหัวธรรมดาๆ อยู่มาก
แต่ก็อย่างที่เรารู้กันว่าสารหนูนั้นมีพิษ ดังนั้นแทนที่จะหายป่วย คนไข้ส่วนใหญ่ก็ได้ตายกันเพราะสารหนูนี่ล่ะ
11. ใช้เฮโรอีนเป็นยาแก้ไอ
จริงอยู่ที่การใช้ยาเสพติดในการรักษาจะเป็นเรื่องที่มีการทำกันอยู่แม้ในปัจจุบัน (อย่างมอร์ฟีนที่สกัดจากฝิ่น) แต่ในปัจจุบันการใช้ยาเสพติดในการรักษาจะมีการคุมปริมาณเป็นอย่างดี
ปัญหาคือในสมัยก่อนที่เฮโรอีนดันถูกใช้กันเป็นว่าเล่น เพราะมันผสมในยาแก้ไอธรรมดาๆ ดังนั้นแทนที่จะหายจากอาการที่ตัวเองเป็น มันก็มีคนไข้ไม่น้อยเลยที่ติดยาจนร่างกายทรุดโทรมยิ่งกว่าเดิม
ที่มา ranker และ ebaumsworld
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น