ก้าวเข้าสู่ปี 2020 มาได้เกือบจะครบ 1 เดือนแบบพอดิบพอดี ก็เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นมากมายบนโลกของเราแล้ว
หรือว่า ‘โลก’ อยากจะส่งสัญญาณเตือนอะไรบางอย่างให้กับมนุษย์กันแน่? เราลองมาดูกันสักหน่อยดีกว่าว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา
1. ปัญหาไฟป่าที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศออสเตรเลีย
อุณหภูมิเพิ่มสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ และปัญหาเรื่องความแห้งแล้ง ส่งผลให้ประเทศออสเตรเลียต้องเผชิญกับปัญหาไฟป่าที่ลุกลามติดต่อกันมาเป็นระยะเวลานานหลายเดือน
แน่นอนว่าอาจจะมีหลายคนที่บอกว่าไฟป่ามันเกิดมาจากน้ำมือของมนุษย์เป็นคนเผา แต่ทว่าสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นความแห้งแล้ง อุณหภูมิที่สูงถึง 50 องศาเซลเซียส ล้วนแล้วแต่เอื้อให้เกิดไฟป่าทั้งสิ้น
ไฟป่าที่ออสเตรเลียส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงกับออสเตรเลีย ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียบ้านเรือนของตัวเอง รวมไปถึงสัตว์ป่ากว่า 500 ล้านตัวที่ต้องสังเวยชีวิตไป แถมยังทำให้เหล่าหมีโคอาล่าทั้งหลายต้องตกอยู่ในสถานะ ‘เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์’ แล้วด้วย
2. ภูเขาไฟ Taal ปะทุ
ก่อนหน้านี้เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ผลกระทบที่อาจจะเกิดจากปัญหาโลกร้อนมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ ‘มันอาจจะทำให้ภูเขาไฟที่อยู่ทั่วโลกปะทุออกมาได้’
และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เมื่อช่วงต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา มีรายงานว่าผู้เขาไฟ Taal ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปทางตอนใต้ของกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ไปราว 60 กิโลเมตร เกิดปะทุขึ้นมา
ฝุ่นควันและเถ้าภูเขาไฟลอยสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียดสีกันจนเกิดเป็นสายฟ้าเห็นแล้วดูน่ากลัว ทำให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บนเกาะต้องอพยพหนีตายกันออกมา
3. มลภาวะทางอากาศ ฝุ่นพิษทั่วเอเชีย
ปัญหาคุณภาพอากาศเป็นพิษ ปกคลุมไปทั่วพื้นที่ของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้ ซึ่งนั่นรวมถึงไทยด้วยเช่นกัน
ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา คุณภาพอากาศในแถบนี้ล้วนปกคลุมด้วยฝุ่นละอองขนาดเล็ก จนท้องฟ้าขมุกขมัว ตัวเลขรายงานคุณภาพอากาศในหลายพื้นที่ พุ่งสูงถึง 150-300 US AQI
ซึ่งตัวเลขเหล่านั้นถือว่าเป็นอันตรายต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์และสัตว์ต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง
4. ธารน้ำแข็งในนิวซีแลนด์เปลี่ยนไปกลายเป็นสีน้ำตาล
จากเหตุไฟป่าที่ออสเตรเลีย ไม่ได้ส่งผลกระทบกับสัตว์ป่าและประชาชนชาวออสเตรเลียเท่านั้น ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ๆ กันอย่าง ‘นิวซีแลนด์’ ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย
นี่คือภาพของ ‘ธารน้ำแข็ง’ ของประเทศนิวซีแลนด์ ที่เปลี่ยนสภาพกลายเป็นสีน้ำตาล เป็นผลมาจากฝุ่นควันที่ลอยมาจากประเทศออสเตรเลีย
และฝุ่นควันเหล่านี้ มันจะส่งผลให้ธารน้ำแข็งละลายเร็วกว่าเดิมมากถึง 30%
5. ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มขึ้นปกคลุมเทือกเขาหิมาลัย แทนที่จะเป็นน้ำแข็ง
จากปัญหาโลกร้อนที่ทำให้ ‘อุณหภูมิเฉลี่ย’ ของโลกสูงขึ้น 3 องศาเซลเซียส ส่งผลให้ธารน้ำแข็งบนเทือกเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่าง เทือกเขาหิมาลัยค่อยๆ ละลายหายไป
จนทำให้ต้นหญ้าและพืชพรรณต่างๆ ขึ้นปกคลุมเต็มไปหมด หลายคนอาจจะมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดี แต่ขอบอกไว้เลยว่าสำหรับเทือกเขาหิมาลัยแล้วไม่ใช่ผลดีเลยแม้แต่น้อย
นักวิทยาศาสตร์กังวลว่า จากการที่ธารน้ำแข็งละลายเร็วกว่าปกติ จะส่งผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมตามมาได้
6. ยังไม่ทันเข้าฤดูมรสุม ก็เกิด ‘พายุ’ พัดกระหน่ำทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาแล้ว
เกิดเหตุพายุทอร์นาโดพัดกระหน่ำรัฐเท็กซัส แอละแบมา และลุยเซียนา ส่งผลให้มีฝนตกหนักและกระแสลมแรง บ้านเรือนจำนวนมากได้รับความเสียหาย และมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 11 ราย
จากการเกิดเหตุพายุในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างปกติแต่อย่างใด เพราะไม่ใช่ช่วงฤดูมรสุมซะด้วยซ้ำ
แน่นอนว่านักวิทยาศาสตร์ต่างก็ตั้งเป้าไปที่ ‘การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ’ ที่เกิดขึ้นจากปัญหาโลกร้อน ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้
7. โรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ ที่กำลังคร่าชีวิตคนไปทีละเล็กทีละน้อย
เกิดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ชนิดเดียวกันกับโรคซาร์ส ชื่อว่า ‘ไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019’ แพร่ระบาดในมณฑลอู่ฮั่น ประเทศจีน
มีรายงานว่าตอนนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อไปแล้วร่วม 2,000 ราย มีผู้เสียชีวิตรวมแล้วกว่า 56 ราย
ไวรัสดังกล่าวกำลังถูกจับตามอง หลังเริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลก และทางการจีนต้องสั่งปิดถึง 13 เมือง เพื่อควบคุมการระบาดครั้งใหญ่นี้
ทั่วโลกกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสลดเช่นเดียวกับตอนไวรัสซาร์สที่เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น