การเป็นเรื่องราวกรณีศึกษาสุดแปลกอีกชิ้นของทีมแพทย์ไปแล้ว เมื่อในวันที่ 12 สิงหาคม 2019 วารสารแพทย์ BMJ Case Reports ได้มีการตีพิมพ์เคสของเด็กสาววัย 17 ปีชาวอินเดียคนหนึ่ง ซึ่งมีกระดูก ฟัน และผมของ “ฝาแฝดของเธอ” พบอยู่ในท้องเสียอย่างนั้น
เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเด็กสาววัย 17 ปีรายนี้ เข้ามารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลหลังจากที่มีอาการท้องโตขึ้นด้วยรูปร่างที่ผิดปกติตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเจ็บเป็นบางครั้ง และรู้สึกอิ่มแทบตลอดเวลาแม้ว่าจะไม่ได้กินอะไรมากนักก็ตาม
เมื่อทีมแพทย์ทำการตรวจสอบท้องของเด็กสาวด้วยระบบซีทีสแกน ทีมแพทย์ก็พบว่าสิ่งที่เป็นต้นเหตุทำให้ท้องของเด็กสาวเป็นเช่นนี้ คือกองกระดูกจำนวนมหาศาลในท้องของเธอ มีทั้งฟัน กระดูกสันหลัง และซี่โครงรวมอยู่ด้วย
เมื่อทำการตรวจสอบเพิ่มเติมทีมแพทย์ก็พบว่าเด็กสาวคนดังกล่าวมีอาการหายากที่ชื่อว่า “Fetus in fetu” กลุ่มอาการความผิดปกติของเด็กในครรภ์
ซึ่งจะทำให้ตัวอ่อนของทารกคนหนึ่ง เข้าไปอยู่ในท้องของทารกที่ร่างกายสมบูรณ์ดีอีกคน และจะเกิดขึ้นในเด็ก 1 ใน 500,000 คนทั่วโลกเท่านั้น
อ้างอิงจากทีมแพทย์อาการ Fetus in fetu ที่ถูกบันทึกไว้ ในปัจจุบันมีอยู่เพียงแค่ 200 เคสเท่านั้น และกรณีที่ผู้ป่วยมีอายุมากกว่า 15 ปีเช่นในกรณีนี้ ก็เคยเกิดขึ้นแค่เพียง 7 ครั้งเท่านั้น
ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใด อาการประหลาดๆ อย่างนี้ถึงได้เกิดขึ้นกับทารกบางกลุ่ม อย่างไรก็ตามนักวิทยาศาสตร์ได้มีการตั้งข้อสันนิษฐานว่า อาการนี้มีความเกี่ยวข้องกับโรคประหลาดอีกโรคที่ชื่อ “Parasitic twins” ซึ่งตัวอ่อนทารกคนหนึ่งจะดูดกลืนตัวอ่อนทารกอีกคนในช่วงต้นของการตั้งครรภ์
เป็นไปได้ว่าในในกรณีของ Fetus in fetu การดูดกลืนตัวอ่อนจะเกิดขึ้นโดยไม่สมบูรณ์ ดังนั้นชิ้นเนื้อของตัวอ่อนจึงไปฝังอยู่ในตัวของทารกอีกคน และอาศัยอาหารจากทารกร่างหลักในการเติบโตต่อไป
แต่ไม่ว่าอาการ Fetus in fetu จะเกิดขึ้นเพราะอะไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเด็กสาวผู้มีอาการก็จำเป็นจะต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อจัดการกับทารกกาฝากในร่างของเธออยู่ดี
โดยเมื่อการผ่าตัดจบลงทีมแพทย์ก็ได้ทำการนำชิ้นเนื้อขนาดร่วม 2 ใน 3 ของเด็กทารกคนหนึ่งออกมาจากร่างของเด็กสาวได้สำเร็จ

แม้ว่าการผ่าตัดครั้งนี้จะได้ชื่อว่าประสบความสำเร็จก็ตาม ทีมแพทย์ก็ได้มีการอธิบายไว้ว่าพวกเขาไม่สามารถนำชิ้นส่วนของทารกกาฝากทั้งหมดออกจากร่างของเด็กสาวได้ เนื่องจากชิ้นส่วนบางชิ้นมีการยึดติดแน่นกับเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงลำไส้ของผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ว

ด้วยเหตุนี้เองแม้ว่าจะนำร่างของทารกกาฝากออกไปแล้วก็ตาม เด็กสาวคนนี้ยังไม่ปลอดภัย 100% เสียทีเดียว เพราะชิ้นเนื้อที่เหลืออยู่อาจจะกลายเป็นเนื้อร้ายอย่างมะเร็งได้
ดังนั้นแม้ว่าเด็กสาวจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติในปัจจุบัน แต่คนรู้จักของเธอก็ยังคงต้องเฝ้าระวังอาการของเด็กสาวคนนี้ต่อไป
ที่มา livescience และ casereports
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น