ย้อนกลับไปในช่วงยุควิคตอเรีย ราวๆ ค.ศ. 1850 ครอบครัวตระกูลเคร่งศาสนาคริสต์ที่อาศัยอยู่ในซัมเมอร์เซ็ทประเทศอังกฤษได้ทำการค้นพบฟอสซิลโบราณชิ้นหนึ่ง
อย่างไรก็ตามด้วยความที่ในเวลานั้น พวกเขากลัวว่าการเผยแพร่การค้นพบฟอสซิลโบราณก่อนสมัยประวัติศาสตร์จะเป็นการ “ปฏิเสธการสร้างโลกของพระเจ้า” ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจนำฟอสซิลที่พบกลับมาฝังไว้ในส่วนหลังบ้านก่อนที่มันจะหายไปจากความทรงจำของพวกเขาไป
แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปได้ราวๆ 169 ปีต่อมา เมื่อความเชื่อของผู้คนเริ่มเปลี่ยนไป ลูกหลานในครอบครัวเดียวกับที่เป็นคนฝังฟอสซิลโบราณเอาไว้ ก็ตัดสินใจที่จะขุดสวนหลังบ้านของตัวเองเพื่อนำฟอสซิลที่ถูกลืมกลับมาให้โลกได้เห็นอีกครั้ง
อ้างอิงจากผู้เชี่ยวชาญ ฟอสซิลที่ครอบครัวนี้ พบนั้น เป็นฟอสซิลของสัตว์เลื้อยคลานทะเลที่เคยอาศัยอยู่ในยุคไทรแอสซิกตอนปลาย จนถึงยุคจูแรสซิกตอนต้นชื่อ “อิกทิโอซอรัส” โดยชิ้นที่ตระกูลนี้มีอยู่ คาดกันว่ามีอายุอยู่ที่ราวๆ 90 ล้านปี
คุณ Julian Temperley ผู้ตัดสินใจขุดซอสซิลชิ้นนี้ขึ้นมาอีกครั้งอธิบายว่าฟอสซิลชิ้นนี้ในอดีตถูกพบโดยคุณ William Philosophus Bradford หรือไม่ก็คุณ John Wesley Bradford ผู้ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเขา ในเหมืองปูนที่ Pitsbury ก่อนที่มันจะถูกฝังอีกครั้งด้วยความไม่เข้าใจ เพราะในเวลานั้น Charles Darwin ยังไม่เป็นที่รู้จัก
หลังจากเวลานั้นมาคุณ Julian Temperley และครอบครัวก็เคยขุดเอาฟอสซิลดังกล่าวกลับขึ้นมาในบางโอกาส อย่างไรก็ตามเพื่อเคารพการกระทำของบรรพบุรุษพวกเขาจึงตัดสินใจฝังมันกลับลงไปทุกครั้ง
คุณ Julian Temperley เป็นเจ้าของบริษัทบรั่นดี
แต่แล้วหลังจากที่ในพื้นที่มีเหตุน้ำท่วมอยู่บ่อยครั้งในช่วงปี 2013-2014 คุณ Julian Temperley และครอบครัว ก็ตัดสินใจว่ามันคงไม่ใช่เรื่องดีที่จะปล่อยฟอสซิลโบราณเอาไว้อย่างนั้น ดังนั้นในที่สุดพวกเขาจึงขุดกระดูกขึ้นมาอย่างถาวร
นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขามากที่โครงกระดูกของอิกทิโอซอรัสนั้นนับว่าเป็นฟอสซิลที่ถูกพบค่อนข้างบ่อย แถมตัวที่อยู่กับพวกเขาก็ยังไม่ใช่ตัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเก็บฟอสซิลดังกล่าวไว้ในครอบครองได้
ฟอสซิลอิกทิโอซอรัสชิ้นอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้เองในปัจจุบัน ทางคุณ Julian Temperley กับครอบครัว จึงได้ตัดสินใจที่จะออกเงินกว่า 110,000 บาทเพื่อดัดแปลงฟอสซิลของพวกเขาให้สามารถนำไปแขวนโชว์ได้ และมีกำหนดการจะนำมันไปประดับบริษัทของตระกูลต่อไปอีกที
ที่มา allthatsinteresting, iflscience
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น