ในขณะที่ทางการสหรัฐอเมริกาพยายามควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส Covid-19 ภายในประเทศอย่างเข้มงวด แต่ทว่ากลับมีกลุ่มคนอีกหนึ่งกลุ่มที่ไม่สนใจว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น ก็ยังคงปฏิบัติตัวตามปกติไม่อยากให้ช่วงเวลาแห่งความสุขของตัวเองหายไป
.
นั่นก็คือเหล่านักศึกษาที่กำลังอยู่ในช่วงสปริงเบรก (สัปดาห์หยุดยาวจากการเรียนในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ) หลายกลุ่มวางแผนกันมานานหลายเดือน และมารวมตัวกันเพื่อปาร์ตี้หยุดยาวกับเพื่อนๆ ในช่วงนี้
สำหรับพื้นที่ภายในเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของนักศึกษาจากทั่วประเทศเช่นเคย แม้จะมีการเฝ้าระวังไวรัส Covid-19 ประกาศออกมาแล้วก็ตาม
.
ไม่ว่าจะมุมเมืองไหนของไมอามี ผับบาร์ ร้านเหล้า ร้านอาหารตลอดริมฝั่งชายหาด หรือแม้แต่บนชายหาดที่จำเป็นต้องเว้นระยะห่าง พวกเขาก็ไม่แคร์ข้อปฏิบัติจากทางการ ยังคงจัดกิจกรรมปาร์ตี้สนุกสุดเหวี่ยงตามปกติ
สิ่งที่พวกเขา (รัฐบาล) ทำมันแย่มากครับ เราอยากได้เงินคืน ไวรัสมันไม่ได้รุนแรงขนาดนั้น
กลุ่มนักศึกษาส่วนใหญ่ที่ให้สัมภาษณ์กับสื่อ ยังยืนกรานว่าจะปาร์ตี้เพื่อความสุขและสนุกสนานต่อไป แม้จะรู้ตัวว่าทำให้ตัวเองเสี่ยงติดและแพร่เชื้อได้ ทำให้อีกหลายชีวิตต้องเสี่ยงอันตรายไปด้วยก็ตาม
มาที่นี่เพื่อปาร์ตี้ แต่ต้องเจอกับความผิดหวัง ที่ไหนก็ปิด กะจะเมาให้ได้ก่อนที่จะถูกปิดหมด
Bradley Sluder นักศึกษาคนหนึ่งได้ให้สัมภาษณ์กับทางสำนักข่าว CBS ว่า “ถ้าผมติดไวรัส ก็คือติดไวรัส ท้ายที่สุดแล้ว ผมจะไม่ยอมให้มันหยุดผมปาร์ตี้ได้หรอก เรารอสปริงเบรกมาสักพักแล้ว วางแผนมาประมาณ 2-3 เดือน แล้วเราก็โผล่มาที่นี่ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด”
ในส่วนของวัยรุ่นนักศึกษาคนอื่นๆ ต่างก็คิดไปในทำนองเดียวกันว่า ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่พวกเขาควรจะเอ็นจอยกับปาร์ตี้ หาความสุขใส่ตัว เพราะต่างคนต่างเฝ้ารอช่วงเวลาปาร์ตี้นี้กันมานาน ส่วนเรื่องไวรัสนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรที่ต้องกังวลขนาดนั้น
ภายหลังจากที่มีภาพผู้คนลงชายหาดแบบไม่เว้นระยะ เพิกเฉยต่อข้อปฏิบัติจากทางการ ล่าสุดทั้งชายหาด สวนสาธารณะ และสถานพักผ่อนหย่อนใจถูกสั่งปิดหมดทุกแห่งที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ไมอามี่เดด เคาน์ตี (ทั้งเมือง)
UPDATE: All beaches, parks & recreational facilities are CLOSED citywide until further notice by order of @MiamiDadeCounty: https://t.co/PdLE3UohVW #COVID19 pic.twitter.com/9izUcrBd49
— City of Miami Beach (@MiamiBeachNews) March 19, 2020
ที่มา: cbsnews, theblaze, usatoday, dailymail, businessinsider
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น