เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2564 (เมื่อวาน) ที่ผ่านมา สำนักข่าวไทย รายงานว่า นางบวน โล่ห์สุวรรณ คุณยายวัย 89 ปี จากจังหวัดบุรีรัมย์ ถูกกรมบัญชีกลาง ส่งหนังสือมาเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืน พร้อมดอกเบี้ย เป็นเงินจำนวน 84,000 บาท!!
โดยคุณยายบวนเล่าว่า เริ่มได้รับเงินเบี้ยผู้สูงอายุมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553-2563 เป็นวลา 10 ปี ไม่เคยมีปัญหาอะไร จนกระทั่งในปี 2563 ทางอบต. ติดต่อมาแจ้งว่าจะต้อง “หยุดจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุ”
เนื่องจากว่าคุณยายได้รับเงินบำนาญพิเศษอยู่แล้ว จากกรณีที่ลูกชายของคุณยายเป็นทหารสังกัด มทบ.21 นครราชสีมา และเนื่องจากว่าลูกชายของคุณยายเสียชีวิตจากเหตุการณ์คลังแสงระเบิดที่โคราช เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2544

ทางต้นสังกัด (ทบ.) จึงได้จ่ายเงินบำนาญพิเศษให้กับผู้เป็นพ่อ และแม่คนละ 5,000 บาทต่อเดือน หลังจากที่สามีของคุณยายเสียชีวิตไป ก็เหลือแต่คุณยายคนเดียวที่ได้รับเงินบำนาญทายาทเดือนละ 5,000 บาท
จากการศึกษาคุณสมบัติ และเงื่อนไขของผู้มีสิทธิรับเบี้ยผู้สูงอายุมีข้อหนึ่งระบุว่า “จะต้องไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือองค์กรปกครองท้องถิ่น”
นั่นเท่ากับว่าคุณยายจะไม่เข้าข่ายผู้มีสิทธิ์รับเบี้ยผู้สูงอายุตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ก็ยังได้รับเงินเบี้ยผู้สูงอายุมาตลอด 10 ปี!?
จากประเด็นดังกล่าว คุณยายได้รับหนังสือจากกรมบัญชีกลางส่งมาเรียกเก็บเงินเบี้ยผู้สูงอายุกลับคืน พร้อมกับดอกเบี้ย รวมทั้งสิ้น 84,000 บาท ก็ถึงกับทำเอาช็อกเลยทีเดียว

พร้อมกับตั้งคำถามว่าทำไมจู่ๆ ทางกรมบัญชีกลางถึงใช้วิธีการเรียกเงินเบี้ยผู้สูงอายุคืน และทำไมถึงไม่ทักท้วงตั้งแต่เริ่มต้นว่าไม่มีสิทธิ์รับ ทั้งที่ระบบราชการก็สามารถตรวจสอบได้อยู่แล้ว
แต่ปล่อยให้ล่วงเลยมาถึง 10 ปี แล้วมาเรียกเงินคืน ซึ่งคุณยายก็บอกว่าไม่รู้จะหาเงินที่ไหนไปคืน เพราะลูกสาวของคุณยายก็มีอาชีพทำนา และรับจ้างหาเงินไปวันๆ เพื่อหาเงินมาใช้หนี้ นอกจากนี้ก็ยังต้องเลี้ยงหลานอีก 3 คนที่กำลังเรียนหนังสืออยู่อีก

ทางด้านนางนิโลบล แวววับศรี รองอธิบดีกรมบัญชีกลาง ได้ออกมาชี้แจงถึงกรณีนี้ว่า “เนื่องจากหลักเกณฑ์ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์จ่ายเงินยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2552 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2561

ได้กำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ว่า “จะต้องไม่เป็นผู้ได้รับเงินบำนาญ เบี้ยหวัด บำนาญพิเศษ หรือเงินอื่นใดในลักษณะเดียวกัน”
ซึ่งแต่เดิม องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เจริญสุข จ.บุรีรัมย์ เป็นผู้จ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุให้แก่นางบวน โล่สุวรรณ ตลอดมา”
“ต่อมาในปี 2563 ได้มีการอัปเกรดฐานข้อมูลสวัสดิการสังคม ให้เป็น E-Social Welfare เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการจ่ายตรงเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และเบี้ยความพิการ ระหว่างกรมบัญชีกลาง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น”
“เมื่อ อบต. มีหนังสือสอบถามกรมบัญชีกลางให้ตรวจสอบกับฐานข้อมูลผู้รับบำนาญ ว่าผู้สูงอายุรายดังกล่าวเป็นผู้รับบำนาญหรือไม่ กรมบัญชีกลาง ได้ตรวจสอบพบว่า เป็นผู้รับบำนาญพิเศษ พร้อมทั้งได้มีหนังสือตอบ อบต. แล้ว”
“ในกรณีที่ได้รับเงินเบี้ยผู้สูงอายุไปโดยไม่มีสิทธิ์ ทางอบต. จะเรียกเงินคืนตามขั้นตอนและวิธีการที่ อบต. เป็นผู้กำหนดเอง และไม่ได้อยู่ในอำนาจของกรมบัญชีกลางที่จะดำเนินการได้”
“อย่างไรก็ดีกรมบัญชีกลางมีความห่วงใย และเข้าใจสถานการณ์ ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นอย่างมาก จึงได้มอบหมายคลังจังหวัดบุรีรัมย์ ประสาน อบต. เร่งชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้สูงอายุรายดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว”
อ่านข้อความชี้แจงแบบเต็มๆ ได้ที่นี่
จากเรื่องนี้ สื่อออนไลน์หลายสำนักก็ได้ลงข่าวไป ชาวเน็ตหลายคนต่างก็แสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา ลองไปอ่านกันดูครับ…
.
.
.
.
แล้วเพื่อนๆ ชาวแคทดั๊มบ์ล่ะครับ? มีความเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้บ้าง? ลองคอมเมนต์มาแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะ
เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว
ที่มา : Ch7HD News, สำนักข่าวไทย, thebangkokinsight
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น