CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

นักวิทย์พบ โครงกระดูก “คู่รักแห่งโมเดนา” ที่ถูกฝังแบบจับมือกัน แท้จริงแล้วเป็นผู้ชายทั้งคู่

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2009 ทีมนักโบราณคดีได้ทำการค้นพบโครงกระดูกเก่าแก่อายุ 1,600 ปี ของคนสองคนซึ่งถูกฝังไว้ในสภาพกุมมือกันในสุสานเก่าแก่ที่เมืองโมเดนา ประเทศอิตาลี

 

 

ด้วยความเก่าแก่ของตัวกระดูก ในตอนที่โครงกระดูกทั้งสองถูกพบเป็นครั้งแรกนักโบราณคดีจึงไม่สามารถบอกเพศของคนที่ถูกฝังเอาไว้ได้ ถึงอย่างนั้นเมื่ออ้างอิงจากโครงกระดูกที่ถูกฝังไว้ในสภาพใกล้เคียงกันในอดีต นักโบราณคดีหลายคนก็คาดว่าโครงกระดูกคู่นี้น่าจะเป็นของคู่รักชายหญิง และตั้งชื่อให้โครงกระดูกทั้งสองว่า “คู่รักแห่งโมเดนา”

แต่แล้วเมื่อกาลเวลาผ่านเลยไปเกือบๆ หนึ่งทศวรรษ เมื่อล่าสุดนี้เองทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบความจริงข้อใหม่ของคู่รักแห่งโมเดนาจนได้ นั่นเพราะจากการตรวจสอบสารเคลือบฟันของโครงกระดูกทั้งสอง ดูเหมือนว่าคู่รักแห่งโมเดนาจริงๆ แล้วจะเป็นผู้ชายทั้งคู่เสียอย่างนั้น

 

 

อ้างอิงจากรายงานที่มีการตีพิมพ์ในวารสาร Scientific Reports เมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ได้พบกับโปรตีนชื่อ “อะมิโลจีนิน ไอโซฟอร์ม Y” อันเป็นโปรตีนที่จะพบได้แต่ในฟันของผู้ชายในเคลือบฟันของโครงกระดูกทั้งสอง ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถยืนยันได้ว่าโครงกระดูกที่พบไม่ใช่ของคู่รักชายหญิงอย่างที่คิด

กลับกันเมื่อมองจากโครงกระดูกอื่นๆ อีก 11 ร่างที่ถูกฝังอยู่ในสุสานเดียวกัน และมีร่องรอยของบาดแผลจากสงคราม นักวิทยาศาสตร์ก็มองว่า คู่รักแห่งโมเดนาเดิมทีแล้วอาจจะเป็นทหารมาก่อนก็ได้

 

 

“คู่รักคู่นี้อาจจะสามารถเป็นได้ทั้งเพื่อนหรือสหายร่วมศึกที่เสียชีวิตไปพร้อมๆ กันในการต่อสู้ ดังนั้นพวกเขาถึงถูกฝังไว้ด้วยกัน” ทีมนักวิจัยระบุไว้ในรายงาน “ในอีกทางที่เป็นไปได้ พวกเขาก็อาจจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างญาติหรือพี่น้องอ้างอิงจากอายุที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นพวกเขาจึงถูกฝังไว้ในหลุมศพเดียวกัน”

ทั้งนี้เอง ในปัจจุบันทีมนักวิจัยก็ยังไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ที่ว่าชายทั้งสองคนจะเป็นคนรักกันจริงๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาได้มีการระบุไว้ว่าความเป็นไปได้ในจุดนี้มีอยู่ค่อนข้างต่ำ เนื่องจากในสมัยนั้นผู้คนเริ่มเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์กันมาก และผู้มีอำนาจทางศาสนาในเวลานั้นก็มองการรักร่วมเพศเป็นเรื่องไม่ดีจนถึงขั้นการออกกฎหมายห้ามเลย

 

ที่มา livescience, gizmodo และ theguardian


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น