กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนกับการที่ไนกี้สร้างผลงานด้านโฆษณาออกมาเพื่อกล่าวถึงปัญหาที่แฝงตัวอยู่ อย่างปัญหาบูลลี่กลั่นแกล้งกันในโรงเรียน และการเลือกปฏิบัติที่มีอยู่ในญี่ปุ่น และวิดีโอคลิปกำลังได้รับยอดกดไม่ชอบใจเป็นจำนวนมากจากชาวญี่ปุ่น
หากจำกันได้ ทางไนกี้เคยทำโฆษณาที่ไม่ถูกใจชาวอเมริกันบางส่วนมาแล้ว ด้วยการนำตัว Colin Kaepernick มาเล่นโฆษณาหลังจากแสดงสัญลักษณ์คุกเข่าเคารพเพลงชาติ เพื่อต่อต้านการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของตำรวจกับคนผิวสี
โฆษณาตัวใหม่ของไนกี้ตัวนี้มีชื่อว่า ‘อนาคตไม่คอยใคร’ พร้อมกับคำโปรย ‘ก้าวต่อไป ตัวตน อนาคต’ เป็นการตีแผ่เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากชีวิตจริงของนักกีฬา ผ่านมุมมองของนักฟุตบอลหญิง 3 คนที่มีภูมิหลังต่างกันในประเทศญี่ปุ่น
The Future Isn’t Waiting. | Nike
.
คนแรกคือชาวญี่ปุ่น อีกคนคือชาวเกาหลี และอีกคนเป็นลูกครึ่งระหว่างพ่อผิวสีกับแม่ชาวญี่ปุ่น เผยให้เห็นว่าสิ่งที่คนเหล่านี้ต้องเจอในชีวิตประจำวันนั้นต้องดิ้นรนขนาดไหน และเกิดความยากลำบากในการเข้าสู่วงการกีฬา
.
วิดีโอคลิปโฆษณาความยาว 2 นาทีตัวนี้ เล่าย้อนไปถึงชีวิตของเด็กหญิงผู้มีอนาคตในวงการฟุตบอลญี่ปุ่น เด็กหญิงชาวญี่ปุ่นประสบกับปัญหาถูกบูลลี่ในโรงเรียน พยายามทำความคาดหวังของพ่อแม่ที่อยากให้เรียนเก่งๆ ได้แต่ตั้งคำถามว่า ‘ทำดีพอหรือยัง?’
อีกฝั่งก็เป็นเรื่องของเด็กหญิงผิวสีที่ต้องพยายามเข้าสังคมให้ได้ สงสัยในตัวตนว่า ‘เป็นปกติเหมือนคนอื่นหรือยัง?’ ด้วยความที่เพื่อนร่วมห้องชาวญี่ปุ่นจ้องมองภาพลักษณ์ภายนอกอยู่ตลอด คอยมาจับผมที่ไม่เหมือนตัวเองอยู่ในห้องน้ำ
อีกทั้งยังมีการดูคลิปวิดีโอของ Naomi Osaka (นักเทนนิสอาชีพลูกครึ่งญี่ปุ่น) และได้เห็นคอมเมนท์ที่ว่า ‘เธอเป็นคนอเมริกันหรือญี่ปุ่นกันแน่?’ นั่นก็คือคำถามที่ตรงกับเด็กหญิงคนนี้เหมือนกัน
ในส่วนของเด็กหญิงชาวเกาหลี เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนมาที่ญี่ปุ่น จะเห็นได้ว่าเธอเลื่อนดูข้อมูลในโทรศัพท์ไปเรื่อยๆ เป็นการถกเถียงกันในเรื่องของปัญหาเด็กนักเรียนต่างชาติในญี่ปุ่น และมักจะมีปัญหากับชาวเกาหลีอยู่เสมอ
เพราะด้วยความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ ญี่ปุ่นกับเกาหลีนั้นมีความละเอียดอ่อนมาก และชีวิตของเด็กหญิงชาวเกาหลีมักจะถูกจ้องมองด้วยสายตาที่น่ากลัวอยู่ตลอดเวลา เธอยังคงคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้คนญี่ปุ่นเข้าใจตัวเธอมากกว่านี้
ในท้ายที่สุดของคลิป เด็กหญิงทั้ง 3 คน ที่ประสบกับปัญหาชีวิตที่ต้องเจอและหวาดกลัวอยู่ตลอด ตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘อาจจะถึงเวลาที่จะต้องเผชิญหน้ากับมัน’
แต่ในความเป็นจริงก็คือไม่เพียงแต่ต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่จำเป็นต้องรอให้บางสิ่งเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น พวกเขาเองที่ต้องเผชิญหน้าเปลี่ยนแปลงมัน จงภาคภูมิใจกับสิ่งที่ทำอยู่ และภาคภูมิใจในชาติพันธุ์ของตัวเองและความเป็นตัวตนของตัวเอง
โฆษณาตัวนี้จากไนกี้พยายามสะท้อนปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียนของญี่ปุ่นออกมา และไนกี้ก็ได้รับคำชื่นชมจากชาวเน็ตญี่ปุ่นบางส่วนที่มองเห็นถึงปัญหานี้เช่นกัน
“นี่มันยอดเยี่ยมมาก ฉันรู้สึกได้ว่าไม่เคยเห็นโฆษณาที่ยอมเล่าถึงปัญหาในการใช้ชีวิตในญี่ปุ่น และเรื่องของชนกลุ่มน้อยในประเทศนี้เลย”
“ขอบคุณมากๆ ช่วยทำโฆษณาแบบนี้ต่อไปนะ”
“ฉันรู้สึกประทับใจไนกี้มาก ขอบคุณนะ”
“โฆษณานี้ทำให้ฉันร้องไห้เลย มันคงจะดีหากเราช่วยกันทำให้เด็กๆ หยุดแนวคิดแบบนี้ได้เสียที”
“ดีมาก ฉันซื้อของจากไนกี้ตลอดก็เพราะโฆษณาแบบนี้แหละ”
อย่างไรก็ดี โฆษณาตัวนี้ก็ไม่ได้มีแต่คำชื่นชมเสียทีเดียว เพราะอีกฝั่งของชาวญี่ปุ่นเองต่างก็รู้สึกไม่พอใจกับโฆษณาตัวนี้เป็นอย่างมาก เพราะเป็นการกล่าวหาเหมารวมทั้งประเทศ
“ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยการเลือกปฏิบัติอย่างงั้นเหรอ? มันรู้สึกว่าพวกคุณกำลังสร้างความเข้าใจผิดให้กับประเทศญี่ปุ่นนะ”
“ชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว มันทำให้คนญี่ปุ่นดูแย่”
“การวาดภาพชาวญี่ปุ่นแบบนี้ทำให้ดูเป็นคนไร้มนุษยธรรมเลย”
“ไม่ใช่แค่ประเทศญี่ปุ่น การเลือกปฏิบัติยังมีในประเทศอื่นๆ ด้วย”
“ไม่มีการบูลลี่กันในญี่ปุ่น!”
“จะไม่ซื้อไนกี้อีกต่อไป”
โฆษณาตัวนี้ได้รับยอดกดไม่ชอบจากฝั่งชาวญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นจำนวนมาก ด้วยจำนวน 47,000 ครั้ง ในขณะที่มียอดคนถูกใจอยู่ที่ 67,000 ครั้ง
ภายใต้ช่องแสดงความคิดเห็นของโฆษณาในยูทูบเต็มไปด้วยข้อความเชิงเกลียดชัง เหยียดผิว และคนที่มองว่าการบูลลี่ไม่ได้เป็นปัญหาในประเทศญี่ปุ่น
ความไม่ชอบและความคิดเห็นเชิงลบทั้งหมดในโฆษณาตัวนี้ สามารถบ่งชี้ว่าไนกี้เองก็ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยผู้แสดงความคิดเห็นบางคนบอกว่านี่เป็นเพียงการพิสูจน์ว่า ‘โฆษณาแบบนี้มีความจำเป็นเพียงใดในสังคมปัจจุบัน’
เรียบเรียงโดย #เหมียวเลเซอร์
ที่มา: NIKE JAPAN
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น