มันเป็นเรื่องที่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าไม่ว่าจะในยุคสมัยไหน “เรื่องเพศ” ก็จะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์แบบไม่สามารถแยกออกจากกันได้
แต่ก็เช่นเดียวกับที่โลกนั้นเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย สิ่งที่เคยถูกเห็นเป็นเรื่องธรรมดาในอดีตก็อาจจะถูกมองเป็นเรื่องแปลกในปัจจุบันก็เป็นได้
ดังนั้นเพื่อนำเสนอเรื่องราวของโลกในอีกมุมที่คุณอาจไม่เคยรู้ในวันนี้ เราจะไปชม 20 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องเพศสุดแปลกจากในอดีตกัน แต่จะมีอะไรบ้าง เรามาดูไปพร้อมๆ กันเลยดีกว่า
1. เซ็กส์ทอยที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เชื่อกันว่าเป็นดิลโด้ซึ่งทำจากหินทราย โดยมันมีอายุราวๆ 28,000-32,000 ปี
2. ในอียิปต์โบราณ ศพของผู้หญิงมักจะถูกปล่อยให้เน่าก่อนจะนำไปทำพิธีรักษาศพอื่นๆ เพื่อป้องกันการร่วมเพศกับศพ
3. ที่ปอมเปอีมีการค้นพบภาพฝาผนังจำนวนมาก ซึ่งเกี่ยวข้องกับการร่วมเพศ
โดยมันมักถูกพบตามสถานบริการ จะคาดกันว่าน่าจะใช้ปลุกอารมณ์ลูกค้า และนำเสนอไอเดียท่าทางการร่วมเพศใหม่ๆ
4. ในช่วงศตวรรษที่ 18 แคทเธอรีนมหาราชจักรพรรดินีแห่งรัสเซีย มีการจ้าง “นักจี้เท้า” (Foot ticklers) เพื่อช่วยปลุกอารมณ์ให้เธอ
เห็นว่ารายได้ดีด้วยนะ
5. มีบันทึกข่าวลือในอดีต ว่าคลีโอพัตรามักจะนำผึ้งมาใส่ในน้ำเต้าหรือกล่องกระดาษปาปิรุส เพื่อใช้เป็น “เครื่องสั่นสะเทือน”
6. งานศิลปะทางเพศที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เชื่อกันว่าอยู่ที่จีน โดยมันเป็นงานศิลปะสกัดหินอายุ 3,000 ปี ซึ่งแสดงการร่วมเพศแบบไบเซ็กชวลไว้
7. แพทย์ในยุควิคตอเรียบางครั้งก็ต้องช่วยสำเร็จความใคร่ให้คนไข้ เพื่อรักษาอาการฮิสทีเรีย
8. ในยุคกลาง (ราวๆ ปี 1500) ของฝรั่งเศส มีการทดสอบความแข็งแรงทางเพศอย่างจริงจัง
โดยในบางครั้งฝ่ายชายก็จะต้องสำเร็จความใคร่ตัวเองต่อหน้าศาลเพื่อเป็นการพิสูจน์สมรรถนะเลย
9. ในสมัยอยุธยา ผู้หญิงที่จะถวายตัวจะต้องมีการรมให้อวัยวะให้หอม และฝึกท่า “พับเป็ด” เพื่อไม่ให้เท้าของหญิงไปสัมผัสพระวรกายของพระเจ้าแผ่นดินด้วย

10. การช่วยตัวเองในช่วงยุควิคตอเรียถูกมองว่าอันตรายมากๆ และทำให้สุขภาพเสีย ดังนั้นผู้คนจึงทำ “อุปกรณ์ป้องกันการช่วยตัวเอง” หลายชิ้นออกมาขาย
11. ในช่วงปี 1500 ชาวยุโรปเคยมีการฉีดปรอทใส่ท่อปัสสาวะเพื่อรักษาโรคหนองในด้วย
12. ตามความเชื่อของชาวเมโสโปเตเมียผู้หญิงทุกคนจะต้องไปที่วิหารเทพอิชทาร์ และมีเซ็กซ์กันคนที่ไม่รู้จักสักครั้งในชีวิต “เพื่อตรวจสอบภาวะเจริญพันธุ์”
แต่ในขณะเดียวกันที่เมโสโปเตเมียก็มีแนวคิดที่ว่าผู้หญิงที่แต่งงานจะต้องเป็นหญิงพรหมจรรย์ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าผู้หญิงที่มาที่วิหารน่าจะเป็นหญิงที่แต่งงานแล้วทั้งนั้นนั่นเอง
13. ในช่วงปี ค.ศ. 300 ซ่องในกรุงโรมได้รับความนิยมเอามากๆ มีหญิงสาวที่ประกอบอาชีพนี้มากถึง 32,000 คน
เรียกได้ว่าถึงขั้นที่ถนนมีรูปอวัยวะเพศ และซ่องจำเป็นต้องปิดให้บริการตอนกลางวัน ไม่เช่นนั้นหนุ่มๆ จะไม่ทำการทำงานกันเลย
14. ที่ประเทศจีนในยุคศตวรรษที่ 10 ผู้หญิงจะใช้ “เท้ารูปดอกบัว” กระตุ้นกำหนัดของฝ่ายชาย
โดยเท้ารูปดอกบัวที่ว่าก็มาจาก “ประเพณีรัดเท้า” ซึ่งจะเป็นการรัดเท้าสตรีจนเล็กผิดรูปอีกที
15. สาวยุคโรมัน ในบางครั้งก็จะนำเหงื่อไคลของกลาดิเอเตอร์มาใช้เป็นยาปลุกเซ็กซ์
16. ตามตำนานการสร้างโลกของอียิปต์ทุกสิ่งเกิดจากการช่วยตัวเองของเทพ
โดยมีการระบุไว้ว่าเทพอาทุมจะใช้มือของตัวเองในการเป็นตัวแทนเพศหญิงในการสร้างเทพอื่นๆ

17. ตามความเชื่อของลัทธิเต๋าในอดีต การถึงจุดสุดยอด (ของผู้ชาย) จะทำให้เสียสุภาพ
นั่นทำให้ผู้ชายในลัทธิพยายามอย่างมากที่จะไม่ถึงจุดสุดยอดทั้งจากการช่วยตัวเอง และจะพยายามถึงจุดสุดยอดในการมีเซ็กซ์ หลัง “ได้พลังชีวิต” จากฝ่ายหญิง (ทำให้ถึงสุดสุดยอดนั่นล่ะ) เท่านั้น
18. ในช่วงยุคกลาง มีกษัตริย์หลายคนไม่น้อย ที่เรียกมหาดเล็กและตุลาการตามไปดูหรือสอนการมีเซ็กซ์กับราชินีถึงในห้อง
รายชื่อกษัตริย์ที่เคยทำเช่นนี้ก็อย่างเช่น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และ พระเจ้าเฮนรีที่ 6
19. จักรพรรดิคนที่สองแห่งกรุงโรม Tiberius เคยสร้างห้องสมุดเร้าอารมณ์เพื่อให้ทาสเซ็กส์เรียนรู้ท่าทางใหม่ๆ
นอกจากนี้ Tiberius ยังมีชื่อเสียจากการฝึกเด็กตัวเล็กๆให้ “เล้าโลม” ตัวเขาเลยด้วย

20. เชื่อกันว่า กริกอรี รัสปูติน เป็นชายผู้มีชื่อเสียงของรัสเซีย มีองคชาตขนาดใหญ่ถึง 13 นิ้ว
แถมเจ้า “ผมไม่เล็กนะครับ” ที่คาดว่าเป็นของเขา ก็ถูกเก็บไว้ที่ พิพิธภัณฑ์ความเร้าอารมณ์ในประเทศรัสเซียเสียด้วย
เรียบเรียงโดย #เหมียวศรัทธา
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น