เรียกได้ว่างานเข้าทุกด้านเลยจริงๆ กับประเทศ ‘ออสเตรเลีย’ ที่ตอนนี้เองก็กำลังรับมือกับปัญหาไฟป่าที่กำลังลุกลามอย่างหนักอยู่
ขณะเดียวกัน ‘ปัญหาภัยแล้ง’ ก็ค่อยๆ คืบคลานเข้ามา เนื่องจากว่าตอนนี้ที่ประเทศออสเตรเลียนั้นมีอุณภูมิเฉลี่ยสูงมาก บางพื้นที่นี่สูงเกือบ 45 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว
จากปัญหาดังกล่าวส่งผลต่อภาคการเกษตร โดยเฉพาะทางภาคใต้ของประเทศออสเตรเลีย ที่เป็นที่อยู่อาศัยของ ‘ชนเผ่าอะบอริจิน’ ซึ่งพวกเขาใช้การเกษตรในการเลี้ยงชีพ และต้องกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้งาน
แต่ทว่าล่าสุดดูเหมือนว่าพวกเขาจะเผชิญกับปัญหาอีกหนึ่งอย่าง นั่นก็คือเหล่า ‘อูฐจรจัด’ เกือบๆ 1 ล้านตัว ที่คอยมากินน้ำจากแหล่งน้ำที่เกษตรกรกักเก็บเอาไว้จนมันค่อยๆ ร่อยหรอลงไปทุกที
ด้วยเหตุนี้เองผู้นำของชาวอะบอริจิน เลยตัดสินใจที่จะ ‘กำจัด’ พวกมันเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหา โดยจะให้นักล่าที่มีความเชี่ยวชาญขึ้นไปบนเฮลิคอปเตอร์และยิงพวกมัน เป็นจำนวน 10,000 ตัว
ซึ่งคาดการณ์ว่าน่าจะใช้เวลาดำเนินการทั้งหมด 5 วันด้วยกัน ถึงจะเสร็จสิ้น
จากข้อมูลขององค์กร National Feral Camel Management Plan ก็ออกมาให้ข้อมูลว่าประชากรของอูฐจรจัดจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆ 9 ปี
หากรัฐบาลไม่ยอมใช้มาตรการในการควบคุมประชากรของพวกมัน และอาจจะทำให้เกิดปัญหาแบบนี้ได้
เมื่ออากาศเริ่มร้อนขึ้นแหล่งน้ำในธรรมชาติเหือดแห้ง อูฐเหล่านี้ก็จะเริ่มรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่อยู่อาศัยของคน รวมไปถึงที่ทำการเกษตร เพื่อค้นหาแหล่งน้ำ
นอกจากนี้พวกมันยังเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาโลกร้อนอีกด้วย ในแต่ละปีอุฐจรจัดจำนวนนับล้านตัวจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 1 ตันขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ ซึ่งเทียบเท่ากับจำนวนของรถยนต์ประมาณ 400,000 คัน เลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าที่สิ่งที่ผู้นำของชาวอะบอริจินทำนั้นเหมาะสมแล้วหรือไม่ แต่ทว่าก็ยังคงไม่มีวิธีในการแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้ถูกเสนอขึ้นมา
แล้วเพื่อนๆ ชาวแคทดั๊มบ์ล่ะครับคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้บ้าง? ลองคอมเมนต์เข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะครับ
ที่มา : dailymail, theaustralian
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น