CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

แม่อ้างว่าเด็กหญิง 9 ขวบที่รับมาเลี้ยง จริงๆ แล้วมีอายุ 22 ปี และพยายามจะปลิดชีวิตเธอ

ต้องขอบอกไว้ก่อนเลยว่า เรื่องราวที่ #เหมียวหง่าว จะนำมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังในวันนี้ค่อนข้างจะลึกลับซับซ้อนซักหน่อยหนึ่ง ประหนึ่งเหมือนกับพล็อตหนังเรื่อง ‘ออร์แฟน เด็กนรก’

เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในครอบครัวหนึ่ง เมื่อคุณแม่ถูกกล่าวหาว่าทอดทิ้งเด็กหญิงวัย 9 ขวบที่รับมาเลี้ยง แต่เธอดันออกมาปฏิเสธและอ้างว่าเด็กที่รับมาเลี้ยงนั้นไม่ได้มีอายุ 9 ขวบ แต่มีอายุ 22 ปีแล้ว และพยายามที่จะลงมือปลิดชีวิตของเธอตั้งหลายครั้ง!?

เอาล่ะ เราไปเริ่มกันตั้งแต่ต้นเลยดีกว่า…ขอแนะนำให้ทุกท่านรู้จักกับ Kristine Barnett หญิงสาวที่ทำอาชีพเป็นคนเขียนหนังสือให้คำแนะนำเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก

 

 

ย้อนกลับไปในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2010 เธอและสามีได้ตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นชาวยูเครนชื่อว่า Natalia (ตอนนั้น Natalia อายุได้ 6 ขวบ)

ก่อนที่จะถูกกล่าวหาว่าทิ้งเธอเอาไว้ที่แฟลตในเมือง Lafayette รัฐอินดีแอนา ในปี 2013 และย้ายหนีไปอยู่ที่แคนาดา

จากเหตุดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนและพบว่า Barnett และสามีทิ้งให้เด็กหญิงที่รับมาเลี้ยงต้องดูแลตัวเองเพียงลำพังเป็นเวลาหลายปี แต่เวลาผ่านไปเหมือนกับว่าเธอไม่มีร่างกายเติบโตขึ้นเลยแม้แต่น้อย

ตำรวจพบว่าเด็กหญิงคนดังกล่าวป่วยอยู่ในสภาพแคระ (Dwarfism) ที่หายาก ทำให้เธอเดินได้อย่างยากลำบาก

 

 

แต่ภายหลัง Barnett ก็ออกมาอ้างว่า จริงๆ แล้วเธอและสามีต่างหากที่ตกเป็นเหยื่อในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้

เธอเล่าว่า เอกสารของ Natalia นั้นเป็นของปลอม และจริงๆ แล้วเด็กผู้หญิงคนนั้นมีอายุ 22 ปีแล้ว

และในแต่ละคืน เด็กผู้หญิงคนนั้นก็พยายามที่จะลงมือฆาตกรรมคนในครอบครัว ด้วยอาวุธมีด พยายามจะวางยาพิษด้วยการผสมน้ำยาซักผ้าขาว และผลักให้เธอล้มใส่รั้วไฟฟ้า

 

Barnett ให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องทั้งหมดดังนี้….

ตอนที่รับ Natalia มาเลี้ยง เธอก็ไม่ได้สนใจเรื่องเอกสารมากมายเท่าไหร่นัก เพราะสภาพของเด็กหญิงนั้นน่าสงสารเหลือเกิน แต่พอรับมาเลี้ยงแล้ว ก็เริ่มเจอแต่เรื่องราวแปลกๆ

“ฉันพาเธอไปอาบน้ำ และก็พบว่าเธอมีขนในที่ลับขึ้นเต็มไปหมดแล้ว ฉันช็อกมาก ตอนนั้นเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์รับเลี้ยงเด็กบอกฉันว่าเด็กคนนี้มีอายุแค่ 6 ขวบ แต่ดูจากสภาพร่างกายแล้วมันไม่น่าใช่อย่างนั้น”

 

 

จากนั้นก็มีเรื่องราวอื่นๆ ตามมาอีกมากมาย….

“เธอเคยวาดภาพ และเขียนข้อความ บอกว่าจะฆ่าทุกคนในครอบครัว จากนั้นก็ห่อมันด้วยผ้าเอาไปฝังไว้ที่หลังบ้าน”

“ครั้งหนึ่งฉันเห็นเธอเอาสารเคมีอย่างน้ำยาล้างห้องน้ำ หรือน้ำยาฟอกผ้าขาว มาผสมในกาแฟของฉัน พอฉันถามว่า ‘เธอกำลังทำอะไรน่ะ?’ เธอตอบกลับมาว่า ‘ฉันกำลังจะวางยาพิษเธออยู่ไง’”

“สื่อพยายามจะสร้างภาพให้ฉันกลายเป็นคนรังแกเด็ก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ มันไม่มีเด็กอยู่ในบ้านนี้ตั้งแต่แรกแล้ว”

“Natalia เป็นผู้หญิงแล้ว เธอมีประจำเดือน เธอมีฟันแท้ขึ้นแล้ว และเธอก็ไม่โตขึ้นเลยแม้แต่น้อย เธอป่วยเป็นโรคคนแคระ”

 

 

“ฉันพาไปให้หมอตรวจกระดูกของเธอดู และผลก็ออกมาว่า อายุของ Natalia ในตอนนั้นไม่ต่ำกว่า 14 ปีแล้ว”

“เท่านั้นยังไม่พอ หมอยังยืนยันว่าเธอป่วยเป็นโรคทางจิต ที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้ใหญ่เท่านั้น”

“นอกจากนี้เธอยังเคยกระโดดตัดหน้ารถที่กำลังวิ่งอยู่ เอาเลือดของตัวเองไปป้ายตามกระจก เธอทำอะไรอีกหลายอย่างที่คุณอาจจินตนาการไม่ถึงเลยว่าจะมีเด็กคนไหนในโลกนี้เค้าทำกัน”

 

เรื่องราวต่างๆ ถูกจัดการในชั้นศาล ในปี 2012 ศาลในเมืองอินดีแอนาโพลิส ตัดสินไม่เชื่อคำให้การของ Barnett ที่พยายามจะหาหลักฐานมายืนยันว่า Natalia นั้นเกิดในปี 1989 และไม่ได้ตรงตามใบเกิดของเธอที่ระบุเอาไว้ว่าเกิดในปี 2003 ในตอนแรก

Barnett เลยเช่าแฟลตให้ Natalia อยู่อาศัย สมัครเรียนมหาวิทยาลัยให้กับเธอ พร้อมทั้งให้เธอได้ใช้ชีวิตแบบ ‘ผู้ใหญ่’ ส่วนเธอกับครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ที่ประเทศแคนาดา

จนกระทั่งในช่วงปลายปี 2013 Natalia ได้พบเจอกับพ่อแม่อุปถัมภ์รายใหม่ ที่เข้ามาเปลี่ยนชีวิตของเธอ และขุดคดีของ Barnett ขึ้นมาอีกรอบ

ทีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็เลยพา Natalia ไปตรวจกระดูกอีกครั้ง และก็พบว่าผ่านมา 3 ปี อายุกระดูกของเธอจริงๆ แล้วแค่ 11 ปีเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจก็รื้อคดีนี้ขึ้นมาสืบสวนใหม่อีกรอบ และกำลังทำการสืบสวนสอบสวนกันอย่างเต็มที่ เพื่อเอาผิดพ่อแม่อุปถัมภ์เดิมให้ได้

 

 

ทางด้าน Barnett เองก็ยังยืนยันเหมือนเดิม ว่าพวกเขาถูกฟ้องร้องให้ข้อหาทอดทิ้งเด็ก แต่ว่าเด็กที่ว่านั้นไม่ใช่เด็ก เธอจะมีความผิดได้อย่างไร…

“ในวันแรกทุกอย่างมันเกิดจากความรัก แต่เมื่อคุณรับเด็กมาเลี้ยงที่บ้านคุณก็ต้องอยากให้เขาหรือเธอเป็นเด็กจริงๆ”

“ข้อกล่าวหานี้มันช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย มันน่ากลัวมากๆ” 

 

เรื่องราวจะจบลงอย่างไร ก็คงต้องติดตามกันต่อไปแล้วล่ะครับ

 

ที่มา : dailymail, metro, ladbible


Posted

in

,

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น