สำหรับหลายๆ คนแล้ว ปี 2020 คงจะถือเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยเรื่องเลวร้ายปีหนึ่งเลยก็ว่าได้
แต่เชื่อกันหรือไม่ว่าเรื่องเลวร้ายที่เราพบกันในปีนี้ แท้จริงแล้วอาจจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ของเหตุการณ์อันเลวร้ายที่มนุษย์จะต้องพบในอนาคตอันใกล้นี้ก็เป็นได้
นั่นเพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง นักวิทยาศาสตร์จากประเทศอังกฤษและชิลีได้มีการออกมาเปิดเผยว่า สังคมของมนุษย์เรานั้น กำลังมีความเสี่ยงสูงถึง 90% ที่จะล่มสลายไป ภายในไม่กี่ 10 ปีข้างหน้านี้
อ้างอิงจาก งานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature journal Scientific Reports เหตุผลของการล่มสลายในครั้งนี้ หลักๆ แล้วจะมาจากการตัดไม้ทำลายป่า และการใช้ทรัพยากรเกินจำเป็นของมนุษย์
โดยจากการคำนวณเชิงฟิสิกส์ทฤษฎี เพื่อจำลองการใช้ทรัพยากร และเปรียบเทียบกับการเติบโตของมนุษย์ของมนุษย์ ทีมวิจัยก็ได้พบว่า
ในปัจจุบันผืนป่าบนโลกได้ลดลงไปถึง 1 ใน 3 จากที่เคยมีอยู่ถึง 60 ล้านตารางกิโลเมตรเหลือน้อยกว่า 40 ล้านตารางกิโลเมตร ภายในช่วงเวลาสั้นๆ ของอารยธรรมมนุษย์
หากการตัดไม้ทำลายป่ายังไม่เปลี่ยนแปลง ผืนป่าของมนุษย์จะหายไปจนหมดในอีก 100-200 ปี ซึ่งแม้จะถือว่านาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราก็ไม่จำเป็นจะต้องปล่อยให้ป่าหายไปหมดเพื่อที่สังคมมนุษย์จะล่มสลายเช่นกัน
กลับกันเมื่อผืนป่าที่เรามีค่อยๆ ลดลง ทรัพยากรที่ผืนป่าผลิตก็จะเริ่มไม่เพียงพอต่อความต้องการ และภายในไม่กี่ทศวรรษนี้ ผลกระทบที่ว่าก็อาจจะรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
สิ่งมีชีวิตอาจจะขาดแหล่งอาหารสำคัญที่เคยมี ปริมาณคาร์บอนจะเพิ่มขึ้น หน้าดินจะพังทลาย ระบบการผลิตออกซิเจน และการหมุนเวียนน้ำจะไม่ดีเท่าที่เคยด้วย
“การคำนวณแสดงให้เห็นว่า หากเรายังรักษาอัตราการเติบโตของประชากรและการใช้ทรัพยากรโดยเฉพาะผืนป่าไว้เช่นนี้ เราจะมีเวลาเหลืออีกสองสามทศวรรษเท่านั้นก่อนที่อารยธรรมของเราจะล่มสลาย” งานวิจัยสรุป
แน่นอนว่าด้วยลักษณะของงานวิจัยที่เป็นการคำนวณทางทฤษฎี หลายๆ คนจึงอาจจะบอกปัดไปได้ว่าตัวเลขที่ออกมานี้ ไม่มีความน่าเชื่อถือเท่ากับหลักฐานที่เห็นได้โดยตรง
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม ด้วยความที่ผืนป่าจัดเป็นแหล่งทรัพยากรสำคัญหลายต่อหลายอย่างของมนุษย์
มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เราจะจินตนาการกันได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากแหล่งทรัพยากรเหล่านี้ลดลงไป จนไม่พอต่อความต้องการของคนที่เพิ่มขึ้นทุกวัน
แต่จินตนาการที่ว่านี้จะเป็นจริงขึ้นมาหรือไม่นั้น คนที่จะกำหนดมันได้ก็คงจะมีเพียงมนุษย์เราด้วยกันก็เท่านั้น
ที่มา vice, nature, iflscience และ dailymail
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น