CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

ชม 7 ข่าวกรณีศึกษาและการรักษา ที่ได้ชื่อว่า “แปลกที่สุด” ในช่วงปี 2019 ที่ผ่านมา

ในช่วงเวลาที่ปี 2019 กำลังจะจบลงเช่นนี้ มันเป็นเรื่องปกติที่เราจะเริ่มมองย้อนกลับไปในอดีต เพื่อรวบรวมเรื่องราวที่น่าสนใจที่สุดในด้านต่างๆ กลับมาทบทวนกันอีกครั้ง

และในวันนี้ก็ เรื่องราวอันเป็นหัวข้อการทบทวนในอดีต ก็คงจะไม่มีอะไรดีไปกว่า “กรณีศึกษาแปลกๆ” ในช่วงปีที่ผ่านมาอีกแล้ว นั่นเพราะปี 2019 นั่นเรียกได้ว่าเป็นปีที่เต็มไปเรื่องราวของอาการเจ็บป่วยแปลกๆ ที่หาชมได้ยากเลยก็ไม่ผิดนัก ไม่เชื่อก็ลองไปอ่านกรณีศึกษาทั้ง 7 อย่างต่อไปนี้ดูสิ

 

กรณีศึกษาแปลกที่ 1: เลือดกลายเป็น “สีน้ำเงิน”

นี่คือเรื่องราวของหญิงสาววัย 25 ปีคนหนึ่ง ซึ่งมีการใช้ยาในการรักษาอาการปวดฟันแบบทา “ในปริมาณมาก” จนได้รับผลข้างเคียงทำให้ร่างกายมีอาการเหนื่อยอ่อน กล้ามเนื้ออ่อนแรงอย่างหนัก และสีผิวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีซีดที่ จากอาการที่เรียกว่า “Methemoglobinemia”

อาการนี้ทำให้ออกซิเจนในโลหิตของเธอ ลดลงไปอยู่ที่ 67% จากการที่ธาตุเหล็กในเลือดปล่อยอิเล็กตรอนออกมาจนทำให้เม็ดเลือดเปลี่ยนสถานะไปและไม่สามารถส่งออกซิเจนได้อย่างที่ควร ซึ่งไม่เพียงแต่อันตรายเป็นอย่างมากเท่านั้น แต่ยังทำให้เลือดของเธอกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มอีกด้วย

อ่านข่าวเต็มๆ ได้ ที่นี่

 

กรณีศึกษาแปลกที่ 2: เมาทั้งๆ ที่ไม่ได้ดื่มเหล้า

นี่คือเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับชายชาวจีนวัย 27 ปี ซึ่งมีอาการมึนเมาอยู่เสมอทั้งที่ไม่ได้ดื่มสุรา อันเป็นอาการของโรคหายากที่เรียกกันว่า “กลุ่มอาการร่างกายบ่มสุราได้เอง” (Auto-brewery Syndrome – ABS) ซึ่งตามปกติจะเกิดขึ้นจากการติดเชื้อยีสต์ในลำไส้

อย่างไรก็ตามในกรณีของชายคนนี้ ร่างกายของเขาไม่ได้ติดเชื้อยีสต์ แต่กลับมีแบคทีเรียชื่อ Klebsiella pneumonia อยู่ในปริมาณมากผิดปกติแทน และเจ้าแบคทีเรียตัวนี้ก็บังเอิญว่าบ่มสุราในร่างกายเราจากแป้งและน้ำตาลที่เรากินเข้าไปเสียด้วย

ดังนั้นชายคนนี้จึงมีร่างกายที่ มีการผลิตแอลกอฮอล์มากกว่าปกติถึง 6 เท่า ส่งผลให้มีอาการเมาทุกครั้งหลังรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลนั่นเอง

อ่านข้อมูลงานวิจัยครั้งนี้ได้ ที่นี่ และอ่านข่าวของชายคนนี้ได้ ที่นี่

 

กรณีศึกษาแปลกที่ 3: หัวใจสลายเพราะวาซาบิ

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นกับหญิงชาวอิสราเอลวัย 60 ปีคนหนึ่ง ที่บังเอิยทานวาซาบิคำโตเข้าในงานแต่งงานเนื่องจากคิดว่ามันเป็นอโวคาโดบด

โดยหลังจากเธอทานวาซาบิไปร่างกายของเธอก็เกิดภาวะหัวใจสลาย (Broken Heart Syndrome) ส่งผลให้ความสามารถในการบีบตัวของหัวใจลดลงแบบเฉียบพลัน จนเกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง ซึงปกติมักเกิดขึ้นจากร่างกายหรือจิตใจมีความเครียด กดดัน หรืออารมณ์ที่รุงแรง

นับว่าโชคดีมากที่ผู้ป่วยโรคนี้มักจะอาการดีขึ้นในระยะเวลาราว 1 เดือน ดังนั้นคุณยายคนนี้ จึงไม่ได้มีอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างไร

อ่านข่าวเต็มๆ ได้ ที่นี่

 

กรณีศึกษาแปลกที่ 4: องคชาตกลายเป็น “กระดูก”

นี่คือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อชายชราไม่ระบุนามวัย 63 ปี เข้ามาตรวจร่างกายหลังลื่นล้มและเจ็บที่หัวเข่า ดังนั้นแพทย์จึงพาตัวเขาไปทำการเอกซเรย์ร่างกายช่วงล่าง

ภาพถ่ายเอ็กซเรย์ที่ออกมานั้น บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าชายชราไม่ได้มีอาการบาดเจ็บรุนแรงใดๆ บริเวณขาหรือเอวเลย แต่กลับกันทางโรงพยาบาลกลับพบว่า ชายชราคนนี้มีองคชาตที่กำลังจะกลายเป็น “กระดูก” จากกลุ่มโรคหายากชื่อ “Penile Ossification” แทนเสียอย่างนั้น

โดยโรคนี้ เป็นกลุ่มอาการแทรกซ้อนของโรค “เพโรนีย์” ซึ่งตามปกติจะทำให้อวัยวะเพศชายโค้งงออีกที และที่ผ่านๆ มีผู้ประสบเช่นนี้ไม่ถึง 40 รายเท่านั้น

น่าเสียดายมากที่ เมื่อแพทย์บอกกับคนไข้ว่าอวัยวะเพศของเขากำลังจะกลายเป็นกระดูก คนไข้ก็ออกจากโรงพยาบาลไปในทันที ราวกับว่าไม่พอใจผลการวินิจฉัยที่ตัวเองได้รับ แถมยังไม่ยอมกลับมาตรวจที่โรงพยาบาลอีกทำให้ สุดท้ายแล้วอาการของเขาจึงไม่ได้ถูกวินิจฉัยต่อแต่อย่างไร

อ่านข่าวเต็มๆ ได้ ที่นี่

 

กรณีศึกษาแปลกที่ 5: ถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉินเพราะ “เส้นขน” ตำเท้า

เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในบราซิลได้ทำการส่งตัวคนไข้ผู้ชายวัย 35 ไปยังห้องฉุกเฉิน หลังจากที่เจ้าตัวมีอาการปวดเท้าอย่างรุนแรง และจะทวีความรุนแรงมากขึ้นหากเขาเดิน

เมื่อตรวจสอบเท้าของคนไข้ด้วยเลนส์ขยาย แพทย์ก็พบว่าที่ส้นเท้าของชายหนุ่มนั้น มีเส้นผมหรือเส้นขนขนาดราวๆ 10 มิลลิเมตรฝังอยู่ภายใน ซึ่งจากรายงานในปี 2016 เป็นอาการหายากที่ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา เกิดขึ้นเพียง 26 ครั้งเท่านั้น

อ้างอิงจากทีมแพทย์เมื่อเส้นขนฝังลงในผิว มันจะสามารถ “เคลื่อนที่” ด้วยลักษณะคล้ายกับผื่นรูปงู ที่เกิดจากพยาธิปากขอได้ เพียงแต่ในกรณีของเส้นขน ร่างกายจะไม่แสดงออกเป็นผื่นอย่างชัดเจนก็เท่านั้น

ส่วนสาเหตุที่คนไข้คนนี้ได้รับความเจ็บปวดรุนแรงจากการที่เส้นขนฝังลงบนเท้านั้น เป็นไปได้ว่าจะมาจากการที่เส้นผมดังกล่าวฝังลงไปกระตุ้นปลายประสาทในผิวหนังพอดี จึงส่งผลให้เส้นขนเล็กๆ สามารถนำมาซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัสได้

อ่านข่าวเต็มๆ ได้ ที่นี่

 

กรณีศึกษาแปลกที่ 6: เกือบ “ตาบอด” เพราะหลังทานแต่อาหารขยะ

นี่เป็นกรณีศึกษาของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ซึ่งทานแต่อาหารขยะ ในประเทศอังกฤษ โดยเขาเข้ารับการปรึกษากับหมอเนื่องจากมีอาการเหนื่อยง่ายในตอนที่อายุได้ 14 ปี เพราะขาดวิตามิน B12 และถูกกำชับให้ปรับปรุงพฤติกรรมการกินของตัวเอง

แต่ในเวลาต่อมาเมื่อเด็กหนุ่มอายุได้ 15 ปี เขาก็ต้องกลับเข้ามาในโรงพยาบาลอีกครั้ง โดยในคราวนี้เขาบอกว่ามีอาการสูญเสียการได้ยินและมีปัญหาในการมองเห็นบางเวลา แถมอาการของเขายังมีแต่จะแย่ลงเรื่อยๆ จนตอนที่เขาอายุได้ 17 ปี ผลตรวจดวงตาของเด็กหนุ่มก็ลดลงมาจนเหลือแค่ 20/200

เมื่อตรวจสอบร่างกายเพิ่มเติม ทีมแพทย์ก็ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีการขาดสารอาหารมากขึ้นโดยคราวนี้เขาขาดทั้ง วิตามิน B12 ทองแดง ซีลีเนียม และวิตามินดี ซึ่งทำให้เจ้าตัวยอมสารภาพว่าตั้งแต่ประถม เขาจะทานแต่ฝรั่งทอด เฟรนช์ฟราย พริงเกิลส์ ขนมปังขาว แฮมแปรรูป และไส้กรอกเท่านั้น

ดังนั้นทีมแพทย์ได้ทำการให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแก่เด็กหนุ่มเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาที่แย่อยู่แล้วของเด็กหนุ่มมีอาการเลวร้ายไปมากกว่านี้ และสั่งให้เขาปรับการทานอาหารของตัวเองใหม่อย่างเร่งด่วนอีกครั้ง

ซึ่งดูจากความหนักหนาของอาการที่เขาเป็นแล้ว เราก็คงพอจะเชื่อได้ว่า ในครั้งนี้เด็กหนุ่มคงจะทำตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัดจริงๆ เสียที

อ่านข่าวเต็มๆ ได้ ที่นี่

 

กรณีศึกษาแปลกที่ 7: ตา “เรืองแสง” เพราะเป็นโรคตาหายาก

เรื่องราวสุดแปลกนี้เกิดขึ้นเมื่อชายวัย 44 ปี ในสหรัฐอเมริกา หลังจากที่เขาเดินทางไปยังจักษุคลินิก หลังจากการย้ายบ้าน เพื่อนัดพบจักษุแพทย์คนใหม่

อย่างไรก็ตามเมื่อทางคลินิกทำการตรวจสอบดวงตาของชายคนนี้ด้วยแสงตามขั้นตอนการตรวจสอบดวงตาตามปกติ แพทย์ของเขากลับพบว่าดวงตาทั้งสองข้างของชายผู้นี้มีการเรืองแสงสว่างขึ้นมาอย่างที่ไม่น่าจะเป็นราวกับเป็นตัวการ์ตูนไม่มีผิด

ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะ ชายคนนี้มีอาการที่ชื่อว่า “Pigment dispersion syndrome”  อาการหายากที่เม็ดสีหลุดลอกออกจากด้านหลังของม่านตา ทำให้แสงส่องผ่านม่านตาไปและสะท้อนกลับมาในสภาพคล้ายตาเรืองแสง

นี่นับว่าเป็นอาการที่ค่อนข้างน่ากลัว เนื่องจากเม็ดสีที่หลุดออกมาอาจจะไปอุดตันระบบระบายน้ำของดวงตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นจนนำไปสู่โรคต้อหินได้

ดังนั้นจึงนับว่าเป็นโชคดีของชายคนนี้มากที่เขาสามารถพบแพทย์ได้ทันเวลา เขาจึงสามารถเข้ารับการรักษาด้วยระบบเลเซอร์ได้ แม้ตัวอาการจะทำให้เขาต้องรับยาลดความดันดวงตาอย่างต่อเนื่องหลังการรักษาก็ตาม

อ่านข่าวเต็มๆ ได้ ที่นี่

 

รวบรวมโดย #เหมียวศรัทธา

ข้อขอบคุณข้อมูลเพิ่มเต็มจาก livescience


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น