ทุกคนต่างทราบกันดีแล้วว่าการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ณ ขณะนี้ จะสามารถแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งต่างๆ ที่ออกมาจากร่างกายผู้ป่วย ทั้งน้ำมูกและละอองจากการไอจามต่างๆ รวมไปถึงพฤติกรรมในชีวิตประจำอย่างการพูดคุยด้วยการเปล่งเสียงจนน้ำลายกระเด็นก็มี
และประเด็นดราม่าเรื่องการใช้ภาษาในการพูดระหว่างภาษาอังกฤษกับภาษาญี่ปุ่นนี้ เริ่มมาจาก Kurumi Mori ผู้สื่อข่าวชาวญี่ปุ่นจากช่อง Bloomberg
ทำการโพสต์คลิปรายการของสถานีโทรทัศน์ TBS ที่กำลังพยายามนำเสนอทฤษฎีที่ว่าญี่ปุ่นสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้ เป็นเพราะการเปล่งเสียงของภาษาญี่ปุ่น
📺 A theory on why Japan was able to contain the coronavirus outbreak… according to TBS pic.twitter.com/9d0cIxvS1X
— Kurumi Mori (@rumireports) May 21, 2020
จากคลิปข้างต้นนั้นทำการเปรียบเทียบการออกเสียงระหว่างภาษาญี่ปุ่น (これはペンです) กับภาษาอังกฤษ (this is a pen) ด้วยการพูดประโยค “นี่คือปากกา”
เมื่อพูดภาษาญี่ปุ่นคำว่าปากกาทับศัพท์เป็น pen พร้อมกับกระดาษทิชชู่ที่กั้นตรงหน้าปลิวเล็กน้อย แต่พอพูดประโยคเป็นภาษาอังกฤษ กระดาษทิชชู่ด้านหน้าแทบพุ่งหลุดออกจากราวจับเมื่อเปล่งเสียงคำว่า pen ออกมา
この動画はちょっと卑怯で大妻女子大名誉教授の「説」であることと、Vのあと専門医の佐藤昭裕氏が「インフルエンザやマイコプラズマも飛沫感染なのでもうしそうならそれも日本人が感染しにくいといくことになるがそれは私は存じ上げない」と一笑に付してるところはカットしている。 pic.twitter.com/XCEskAHSi6
— れもんた (@montagekijyo) May 21, 2020
ตัดภาพมาในสตูดิโอพร้อมกับคำว่าสุโก้ยในห้องส่ง ตั้งข้อสังเกตกันว่าแม้จะใช้คำว่า pen เหมือนกันแต่มีความแตกต่างในเรื่องของการเปล่งเสียงระหว่างภาษาญี่ปุ่นกับอังกฤษ
พร้อมกับการขึ้นข้อความด้านล่างจอระบุว่า “เหตุผลที่การแพร่ระบาดเกิดขึ้นช้าในญี่ปุ่น: เป็นเพราะความแตกต่างในการออกเสียงของภาษาที่ใช้รึเปล่า?”
เมื่อเกิดเป็นการตั้งทฤษฎีเช่นนี้ ชาวเน็ตที่เห็นก็พยายามพิสูจน์ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือไม่ โดยเฉพาะชาวตะวันตกที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก ใช้หลักการเดียวกันกับในรายการ ซึ่งในชีวิตจริงแล้วแทบจะไม่มีใครเปล่งเสียงเหมือนกับผู้หญิงในรายการนั้นเลย
อีกทั้งหากพยายามพูดเปล่งเสียงไม่ให้เป็นไปตามธรรมชาติของการออกเสียง เน้นไปที่คำว่า pen แบบในรายการดังกล่าวด้วยภาษาญี่ปุ่น ก็สามารถทำให้กระดาษทิชชู่ปลิวได้เหมือนกัน
— RazorBeamz (@LaserBlade) May 21, 2020
.
https://twitter.com/koganakamura/status/1263367688690098176
ทั้งนี้ชาวเน็ตต่างก็ถกเถียงกันในการยกทฤษฎีดังกล่าวมาเปรียบเทียบ โดยมองว่าเป็นการเหมารวมและจงใจทำให้ภาษาอื่นกลายเป็นต้นเหตุของการแพร่ระบาด
คล้ายๆ กับการที่คนนอกมองคนญี่ปุ่นชอบกินเนื้อเทอริยากิทุกวัน แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ไม่ถึงกับขนาดที่กินทุกวัน เป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ชาวตะวันตกเห็นว่าเป็นเมนูยอดนิยมในร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่นอกญี่ปุ่น
อย่างไรก็ดีชาวเน็ตทั้งคนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นหลักกับคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นเป็นหลัก ก็ยังคงถกเถียงในเรื่องทฤษฎีข้างต้นกันอยู่ รวมทั้งการทำคลิปต่างๆ นานาที่เกี่ยวข้องกับประเด็นนี้ไม่รู้จบ
เรียบเรียงโดย #เหมียวเลเซอร์
ที่มา @rumireports, @montagekijyo
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น