เมื่อ 2 ปีก่อน (2017) ในบ้านเราจะมีสติกเกอร์ชุดหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างถล่มถลายบนเฟซบุ๊ก มันก็คือเจ้า “Trash Doves” หรือ “นกม่วง” ที่โยกคอเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด
ซึ่งจากความโด่งของสติกเกอร์ชุดนั้น เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์เลยทีเดียว ขนาดที่ Syd Weiler ศิลปินผู้วาด Trash Doves ยังต้องแปลกใจ แถมเพจของเธอที่ก่อนหน้านี้มีกดไลก์อยู่ 200 คน ก็พุ่งขึ้นมาเป็นหลายหมื่นคนในเวลาชั่วข้ามคืน
เธอจึงออกมาแสดงความขอบคุณคนไทยที่ช่วยสนับสนุนผลงานของเธอเป็นอย่าง โดยการวาดเจ้านกตัวดังกล่าวใช้เท้าคีบธงชาติไทยพร้อมกับข้อความว่า “ขอบคุณไทยแลนด์!”
นกม่วงที่เปลี่ยนมาคาบธงแทนคีบด้วยเท้า
แต่ด้วยความไม่รู้ในวัฒนธรรมของประเทศไทย ที่ธงชาติถือว่าเป็นของสูง การใช้เท้าคีบนั้นทำให้ชาวไทยหลายคนรู้สึกไม่พอใจกับการที่วาดนกให้ใช้เท้าถือธงชาติและเข้าไปแสดงความโกรธในโพสต์ของเธอมากมาย
เมื่อได้รับเสียงตอบรับด้านลบมา เธอรีบถามเพื่อนคนไทยจากมหาวิทยาลัยทันทีว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ซึ่งเพื่อนของเธอก็ได้อธิบายสถานการณ์ให้ฟัง ภายหลังเธอจึงได้แก้ไขให้เจ้านกม่วงออกมาคาบธงชาติไทยแทน
พร้อมกับกล่าวขอโทษที่ทำไปโดยไม่เข้าใจวัฒนธรรมไทยและขอให้คนไทยช่วยอภัยให้เธอ แน่นอนว่าคนไทยเราใจดี ก็อภัยให้ได้เสมอ…
หลังจากที่เจ้านกม่วงโด่งดังในบ้านเราได้สักพัก ความนิยมของมันไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปยังประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงของเราอย่างไต้หวัน ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้อย่างรวดเร็ว ซึ่งบางคนก็งง บางคนก็รำคาญ แต่ส่วนมากแล้วจะรู้สึกตลกไปกับผลงานของเธอ
ขณะเดียวกันความนิยมนกม่วงในไทยก็ยังไม่ได้ลดลง ทางสำนักข่าว Thai PBS ได้ทำคอนเทนต์สุดเอ็กซ์คลูซิฟ ติดต่อเธอไปเพื่อทำการสัมภาษณ์
ทางสำนักข่าวได้ถามเธอว่าเธอเตรียมตัวเตรียมใจไว้หรือไม่ว่าจะได้รับความนิยมแบบนี้ เธอบอกว่าไม่ได้หวังขนาดนี้เลย และก็ถามถึงเรื่องการใช้เท้าถือธงชาติ ซึ่งเธอก็ได้กล่าวขอโทษในเรื่องนี้อีกครั้ง
ผลงานของเธอฮิตติดลมบน ชีวิตของเธอเหมือนกำลังจะไปได้ด้วยดี ในวันหนึ่งที่เธอกำลังสตรีมเกมพร้อมกับเพื่อนๆ อยู่ ซึ่งมีคนดูประมาณ 60 คน บรรยากาศการสนทนากับผู้ชมเป็นไปด้วยความสนุกสนาน
แต่เมื่อมองไปยังช่องแชทให้ละเอียด มีผู้เข้าชมคนหนึ่งที่ใช้ชื่อเป็นที่อยู่ของเธอ เหมือนพยายามสื่อให้เธอรู้สึกว่ามีใครบางคนรู้ว่าเธออยู่ที่ไหน…
เธอพยายามเงียบเรื่องนี้เอาไว้ เพราะเธอคิดว่าจะมีบางคนที่พยายามข่มขู่ให้สตรีมเมอร์กลัว โดยการทำให้พวกเขารู้สึกตกอยู่ในอันตราย เธอเลยพยายามใจเย็นและแจ้งเรื่องนี้ให้แก่ผู้จัดการแพลตฟอร์มให้บล็อคบัญชีนั้นไป
แต่จริงๆ แล้วเธอกลัวการขู่ครั้งนั้นมากๆ เธอบอกกับผู้ชมว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ก่อนที่จะหลบมาคุยโทรศัพท์กับผู้จัดการส่วนตัว พร้อมบอกว่ามีคนแปลกหน้ารู้ตำแหน่งที่อยู่ของเธอ
ผู้จัดการจึงบอกให้เธอหยุดทำการสตรีมไปก่อนและแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจซะ เธอทำตามคำบอกของผู้จัดการทันที
เมื่อเจ้าหน้าที่ได้รู้เรื่องราวดังกล่าว พวกเขาก็ทำการปลอบเธอ แต่ก็บอกว่าพวกเขาไม่สามารถจัดอะไรให้ได้ ยกเว้นว่าเธอจะได้รับภัยคุกคามโดยตรง
ในวันนั้นเหตุการณ์ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ประเด็นใหม่ก็กำลังจะเกิดขึ้น ขณะที่เธอกำลังไล่อ่านข้อความในเฟซบุ๊กเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครนำที่อยู่ของเธอมาข่มขู่อีก (ซึ่งจริงๆ แล้วก็มี แถมแจ้งตำรวจไป พวกเขาก็ไม่สนใจ)
เธอไปสะดุดคำข้อความหนึ่งที่ส่งมาจากคนที่ใช้นามแฝง บัญชีเพิ่งสร้าง ไม่มีรูปโปรไฟล์ เขาส่งข้อความมาบอกเธอพร้อมกับแนบต้นทางไปยัง 4Chan เว็บบอร์ดต่างประเทศ
“ฉันคอยจับตาดูส่วนที่อันตรายของโลกอินเตอร์เน็ตอยู่ และอยากให้เธอได้รู้ว่ามีคนบางกลุ่มที่กำลังพูดถึงเธออยู่”
ในบอร์ดนั้นมีการพูดคุยเกี่ยวกับเธอ มีการโพสต์ภาพของเธอหรือนำเจ้านกม่วงไปทำมีม กันเต็มไปหมด ถึงแม้เธอจะเริ่มกลัวเกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัวจะถูกเปิดเผย อย่างไรก็ตามในคืนนั้นเธอก็ยังสามารถข่มตาหลับได้
พอเธอตื่น ก็รับรู้ได้ว่าความนิยมในผลงานของเธอได้ขยายออกไปในวงกว้างกว่าเดิม ไม่ได้อยู่เพียงในเอเชียอีกต่อไป เพราะทั้งสหราชอาณาจักรหรือแอฟริกาใต้ ต่างก็ส่งเจ้านกม่วงกันเต็มไปหมด
แต่ด้วยความนิยมนั้นเอง ทำให้มีหัวขโมยไซเบอร์นำผลงานของเธอไปหาผลกำไร โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเธอ ตั้งแต่เอาไปสกรีนเสื้อขาย ทำสติ๊กเกอร์แผ่น หมอน ผ้าห่ม แอปพลิเคชั่นหรือตุ๊กตา โดยใช้รูปขนาด 200 x 200 พิกเซลที่ดาวน์โหลดมาจากกูเกิลเท่านั้น
มันทำให้เธอให้เธอรู้สึกแย่จากเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่แย่เท่ากับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นอีกระลอก…
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมาจากที่เธอรู้สึกแย่กับการถูกนำผลงานไปหากำไรโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อเข้าไปอ่านเว็บบอร์ด 4Chan ได้สักพักก็พบว่ามีคนพยายามจะใส่ร้ายป้ายสีผลงานและตัวเธอ
โดยในบอร์ดได้ใส่ความว่าเจ้านกม่วงของตัวเธอนั้น เป็นข้อความลับๆ ของกลุ่ม White Supremacy (กลุ่มบูชาคนผิวขาว) และยังมีคนโยงว่านกม่วงถูกนำไปใช้เป็นสัญลักษณ์สนับสนุนลัทธินีโอนาซีอีกต่างหาก
หลังจากที่เรื่องราวนั้นถูกแพร่จะกระจายไปในเว็บบอร์ด ก่อนจะทะลักออกมาในโซเชียลมีเดียอื่นๆ มีชาวเน็ตเข้ามาโจมตีเธออย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในอีเมล์ เฟซบุ๊ก เรียกได้ว่าแทบจะทุกช่องทาง
เรื่องราวใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เธอได้รับอีเมลจาก Apple พร้อมบอกว่า Trash Doves จะถูกถอดออกจาก App Store ทำให้เธอสูญเสียช่องทางที่เป็นรายได้หลักของเธอไป
ช่วงเวลานั้นเธอตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก เริ่มปัญหาทางสุขภาพจิต พยายามขอร้องให้เพื่อนที่เคยทำงานให้กับ App Store ช่วยอธิบายพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งโชคดีที่เพื่อนของเธอรู้จักคนที่น่าจะพอช่วยได้
จึงได้พาเธอไปพบกับคนๆ นั้น ก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องความสำเร็จของผลงาน และการถูกจู่โจมโดยเหล่าผู้เกลียดชังเธอ พร้อมกับอธิบายปัญหาถูกขโมยผลงานไปขายอีกด้วย ซึ่งคนๆ นั้นก็รับว่าจะนำเรื่องของเธอส่งต่อไปให้คณะกรรมการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง
ในวันเกิดในวัย 24 ปีของปีดังกล่าว เธอต้องใช้เวลาไปกับการรวบรวมหลักฐานเพื่อต่อสู้กับความผิดที่เธอไม่ได้ก่อ จนในที่สุดความพยายามของเธอก็แสดงผล…
เมื่อหลักฐานที่เธอรวบรวมมาได้รับการชี้แจง เรื่องราวที่เธอถูกใส่ร้ายป้ายสีก็ถูกเฉลย ผลงานได้กลับเข้ามาให้ดาวน์โหลดผ่าน App Store อีกครั้ง แต่ผู้คนที่ชอบและติดตามผลงานของเธอก็หายไปหลายล้านคนเสียแล้ว
ตลอดเวลาปีที่ผ่านมานี้เธอต้องได้รับคำด่าทอมากมายจากคนที่พยายามนำผลงานของเธอไปใช้ในทางที่ผิด รวมถึงต้องสูญเสียคุณแม่ผู้เป็นที่รักไป มันทำให้ช่วงเวลาสองปีล่าสุดนี้เธอเหมือนตกนรกทั้งเป็น พร้อมประสบปัญหาทางสุขภาพจิตร้ายแรง
อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาที่ผ่านมาเธอยังคงมีเพื่อนๆ ครอบครัว แฟนคลับที่เชื่อในตัวเธออยู่ และพร้อมจะสนับสนุนเธอเสมอ ทำให้เธอสามารถผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้
เธอจึงต้องการที่จะนำเรื่องราวนี้มาแชร์เพื่อเป็นอุทาหรณ์ครั้งสำคัญเกี่ยวกับด้านที่น่ากลัวของโลกอินเตอร์เน็ต พร้อมกับหวังว่านี่จะเป็นข้อคิดให้กับใครอีกหลายคนที่พบเจอปัญหาเดียวกันอยู่นี้
และสุดท้ายนี้ สำหรับคนที่ต้องการให้กำลังใจเธอ ก็สามารถเข้าไปส่งข้อความน่ารักๆ หาเธอได้ที่เพจ Facebook: Trash Doves ได้เลยจ้า
เรียบเรียงโดย #เหมียวโคบี้
ที่มา Medium
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น