เชื่อว่าเพื่อนๆ บางคนน่าจะต้องเคยเจอกับคำถามที่ว่า “อายุ 30 แล้วยังไม่มีแฟนอีกเหรอ?” ซึ่งคำถามง่ายๆ นี้กลับเป็นการสะท้อนสังคมที่มองว่าช่วงวัยประมาณ 30 นั้นควรที่จะมีแฟนหรืออาจจะแต่งงานกันได้แล้ว
แต่ในปัจจุบัน คำถามนั้นอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป เมื่อเหล่าผู้เชี่ยวชาญในหลายประเทศต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “เทรนด์คนโสดกำลังมาแรง” การที่เราอายุ 30 แล้วแต่ยังไม่มีแฟนหรือยังไม่แต่งงานนั้น ถือเป็นเรื่องปกติทั่วไป!!
เทรนด์ที่ว่านี้ถูกเรียกว่า Waithood เป็นคำที่ถูกจำกัดความขึ้นมาอย่างเป็นทางการในปี 2008 จากงานวิจัยในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นคำที่กล่าวถึงการรอคอยคนที่จะมาเป็นคู่ครองในชีวิต
Diane Singerman รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัย American University กล่าวว่าสิ่งนี้คือจุดเปลี่ยนอย่างหนึ่งของมุมมองชีวิตคู่ จากที่ผู้คนจำนวนมากเคยพยายามหาแฟน ก็กลายเป็นการรอคนที่เหมาะสมเข้ามาแทน
เธอได้ทำการศึกษาในหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศอียิปต์ เพื่อหาเหตุผลว่าทำไมผู้คนจำนวนมากถึงเริ่มเกิดความคิดนั้นขึ้น จนพบว่าสิ่งสำคัญก็คือเรื่องของ ‘เศรษฐกิจ’ เป็นหลัก
ในงานวิจัยของเธอระบุว่า เศรษฐกิจที่ย่ำแย่และปัญหาทางการเงินของผู้คน คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาเลิกสนใจความคิดที่อยากจะมีคู่ เพราะไม่ต้องการที่จะมีรายจ่ายเพิ่ม ยกตัวอย่างเช่น ค่าใช้จ่ายการจัดงานแต่งงานตามประเพณี เป็นต้น
แต่ช้าก่อน! เพราะถึงแม้ Diane จะบอกว่าปัญหาด้านการเงินคือตัวแปรสำคัญ แต่ทว่าจากการศึกษาอื่นๆ ในเวลาต่อมาก็ยังพบว่า แท้จริงแล้วก็ยังมีอีก 2 ปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันเลย และอาจเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ของคนยุคนี้มากกว่าด้วย
Marcia Inhorn ศาสตราจารย์ทางด้านมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัย Yale University ได้จัดการประชุมร่วมกับนักมานุษยวิทยาและผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้จากหลายๆ ประเทศ
พวกเขาได้พูดถึงทฤษฎีหรือเทรนด์ Waithood กันขึ้นมา จนได้ข้อสรุปว่าปัญหาทางการเงินไม่ใช่ตัวแปรเพียงหนึ่งเดียวของเรื่องนี้ แต่ยังรวมไปถึงเรื่องของ ‘ระดับการศึกษา’ และ ‘การเก็บเกี่ยวประสบการณ์’ อีกด้วย
จากการศึกษาวิจัยในประเทศที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเงิน (เช่น กรีซ, สเปน, ฝรั่งเศส เป็นต้น) พบว่าวัยรุ่นหลายๆ คน โดยเฉพาะผู้หญิง มักจะเลือกคู่ครองที่มีระดับการศึกษาใกล้เคียงกัน
ในการวิจัยระบุว่า ปัจจุบัน ผู้หญิงจำนวนมากสามารถเข้าถึงการศึกษาในระดับสูงได้แล้ว แตกต่างจากเมื่อก่อน และจากสถิติในหลายประเทศก็พบว่าผู้หญิงมีความสนใจที่จะศึกษาต่อในระดับสูงๆ มากกว่าผู้ชาย
อีกทั้งผู้หญิงเหล่านั้นยังมีโอกาสได้ทำงานในระดับที่สูงกว่าผู้ชายอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้ก็จะส่งผลต่อตัวผู้หญิงเองที่อยากมองหาคู่ครองที่มีระดับการศึกษาใกล้เคียงกันหรือสูงกว่า จนกลายเป็นเรื่องยากในการจะมีใครสักคน
นักวิจัยกล่าวด้วยว่า การมองหาคู่ครองในลักษณะนั้น อาจเป็นผลมาจากค่านิยมดั้งเดิมที่ว่า ผู้ชายมักจะต้องเป็นคนที่เหนือกว่าผู้หญิงในเรื่องของการหาเงินเข้าบ้าน โดยรวมไปถึงเรื่องของระดับการศึกษาด้วย
นอกจากนั้นก็ยังมีอีกปัจจัยที่กล่าวไปข้างต้น ก็คือการเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันแปลกใหม่ ซึ่งจากงานวิจัยพบว่านี่คืออีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผู้คนแต่งงานหรือมีคู่ครองกันช้าลงกว่าเมื่อก่อน
และส่วนนี้ก็จะเน้นไปที่ผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่เช่นเดียวกัน เนื่องจากพวกเธอหลายๆ คนอาจมองว่า ตนเองยังต้องการทำสิ่งใหม่ๆ อีกหลายต่อหลายอย่าง จึงไม่อยากที่จะต้องถูกผูกมัดด้วยคำว่าภรรยา หรือการเป็นแม่คน
ด้วยเหตุนั้น พวกเธอจึงไม่รีบคิดที่จะอยากมีชีวิตคู่ และออกเดินทางตามความฝัน ตามความต้องการของตัวเองไปก่อนให้เต็มที่ เช่นเดียวกันกับผู้ชายบางส่วนก็ด้วย
ทั้งหมดนี้ก็คือผลลัพธ์จากงานวิจัย
ที่อธิบายว่าทำไม คนอายุ 30 ในปัจจุบัน ถึงยังโสดกันเป็นเรื่องปกติ
เรียบเรียงโดย #เหมียวตะปู
ที่มา: YaleMacmillanCenter , Quartz , DailyMail
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น