CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

คุณยายเกิดภาวะหัวใจสลายเฉียบพลัน หลังทานวาซาบิคำโต นึกว่าเป็นอโวคาโดบด

ใครชอบทานอาหารญี่ปุ่นน่าจะคุ้นเคยกับเครื่องจิ้มก้อนเขียวๆ ที่เรียกด้วยชื่อ “วาซาบิ” อันเป็นพืชชนิดหนึ่งมีกลิ่นฉุนและรสชาติสุดจี๊ด

ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบกิน แต่หากว่าไปยังร้านอาหารหรืองานที่มีเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นล่ะก็ คุณจะได้เจอกับมันแน่ๆ ไม่ว่าจะมาเป็นก้อนเล็กๆ หรือก้อนใหญ่ๆ ในชามให้ตักแบ่งเอง

 

 

จากบทความในวารสารด้านการแพทย์ British Medical Journal (BMJ) มีเรื่องราวความเจ็บป่วยแบบกะทันหันและอันตรายจากการทานวาซาบิอยู่

หญิงชาวอิสราเอลวัย 60 ปีคนหนึ่งได้เดินทางไปร่วมงานแต่งงานหนึ่ง และในงานแต่งนั้นก็มีเลี้ยงอาหารประเภทบุฟเฟต์ให้เลือกทาน

 

 

ในหมู่อาหารมากมายนั้นมีครีมสีเขียวสดใสอยู่ในถ้วยใบใหญ่รอให้แขกเหรื่อได้ตักแบ่งไป ทางด้านหญิงชราคิดว่ามันคือ “อโวคาโดบด” จึงตักแบ่งมาเต็มจาน

ใครเคยทานอโวคาโดคงทราบว่าเนื้อของมันมีรสจืดๆ มันๆ และมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่คุณยายคนนี้จะตักมันเข้าปากแบบคำโต ในตอนนั้นเองที่เธอรู้ตัวว่าตนเองเข้าใจผิดไปถนัด

 

หน้าตาสีเขียวเหมือนกัน แต่มีรสชาติไปคนละทาง

 

เวลาเราทานวาซาบินั้นส่วนมากจะแค่ป้ายมันลงบนอาหารเพียงเล็กน้อย (บางคนโหดหน่อยก็เป็นก้อนเล็กๆ หรือละลายกับโชยุแล้วจิ้ม) เพียงแค่นั้นก็ทำเอาน้ำหูน้ำตาไหล และเจ็บจี๊ดขึ้นจมูก ตา และสมองแล้ว

ดังนั้นเราคงได้แต่จินตนาการเท่านั้นจริงๆ ว่าหญิงคนนี้ได้รับรสชาติแบบใดหลังจากตักวาซาบิก้อนใหญ่เข้าปาก แต่รับรองเลยว่ามันคือประสบการณ์สุดเลวร้าย ทำเอาต้องเรียกรถฉุกเฉินพาตัวเธอไปโรงพยาบาลในทันที

 

 

แพทย์ที่ดูแลเธอวินิจฉัยว่าร่างกายของเธอเกิด Broken Heart Syndrome หรือภาวะหัวใจสลาย คือภาวะความสามารถในการบีบตัวของหัวใจลดลงแบบเฉียบพลัน จนเกิดอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง

ภาวะดังกล่าวมักเกิดขึ้นจากร่างกายหรือจิตใจมีความเครียด กดดัน และอารมณ์ที่รุงแรงขึ้นมาอย่างเฉียบพลัน บางครั้งก็เกิดจากการได้ฟังข่าวร้าย เกิดอุบัติเหตุ ความกลัวแบบขีดสุด โรคหอบหืด หรือแม้แต่การทะเลาะกันอย่างรุนแรง

 

 

แม้อาการจะดูคล้ายคลึงกับหัวใจวาย แต่โชคดีที่ผู้ป่วยโรคนี้มักจะอาการดีขึ้นในระยะเวลาราว 1 เดือน แต่ทางที่ดีเวลาจะทานอะไรก็ควรระมัดระวังกันให้ดีก่อนนะ

 

เรียบเรียงโดย #เหมียวม่วง

ที่มา British Medical Journal, yahoo, livescience, insider


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น