ย้อนกลับไปในช่วงปี 2019 ได้เกิดข่าวใหญ่ขึ้นในประเทศอินโดนีเซียเมื่อทีมนักโบราณคดี ได้ทำการค้นพบภาพวาดสัตว์ในจินตนาการที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อายุกว่า 44,000 ปีภายในถ้ำที่เกาะซูลาเวซี
(อ่านข่าวการค้นพบนี้ได้ที่: พบภาพฝาผนังมนุษย์ครึ่งคนครึ่งสัตว์ อายุร่วม 44,000 ปี คาดเป็นภาพจินตนาการที่เก่าแก่ที่สุด)
ภาพที่ออกมานี้ นับว่าเป็นอะไรที่มีความสำคัญในทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามมันกลับค่อนข้างบอบบาง และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกับเหมืองซีเมนต์เป็นอย่างมาก สร้างความไม่สบายใจให้กับหลายๆ ฝั่งว่าการทำเหมืองอาจจะทำให้ภาพอันแสนสำคัญนี้เสียหายเอาได้
ปัญหาสำคัญคือทั้งเหมืองและภาพโบราณนั้น ล้วนแต่จะอยู่ในพื้นที่ของ บริษัท Tonasa Cement Company ทั้งสิ้น แถมในปัจจุบัน พวกเขาก็ไม่ได้มีการหยุดทำเหมืองในพื้นที่รอบๆ ภาพโบราณเหล่านี้เลยด้วย
“การทำเหมืองในบริเวณใกล้เคียงย่อมที่จะมีผลกับภาพวาดเหล่านี้อย่างแน่นอน เพราะมันสร้างการสั่นสะเทือนส่งผลกระทบต่อระบบอุทกวิทยาที่ละเอียดอ่อนของพื้นที่ และยังสร้างความเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่สามารถทำให้ภาพเสียหายได้ไม่ยาก” Budianto Hakim นักโบราณคดีชาวอินโดนีเซีย กล่าว
ดังนั้น เพื่อที่จะหาทางรักษาความปลอดภัยของภาพอันเก่าแก่และแหล่งโบราณคดีที่อาจจะมีวัตถุโบราณสำคัญๆ ถูกค้นพบในพื้นที่ เมื่อล่าสุดนี้เองทั้งเจ้าหน้าที่ระดับภูมิภาคและนักวิทยาศาสตร์จึงได้ตัดสินใจออกมาเรียกร้องและหาช่องทางการป้องกันที่มาขึ้นต่อ สิ่งสำคัญในทางโบราณคดีเหล่านี้
อ้างอิงจากข้อมูลของทางเจ้าหน้าที่ ในตอนที่ภาพวาดสัตว์ถูกค้นพบเป็นครั้งแรก ทางบริษัท Tonasa ได้ยอมรับข้อตกลงในการละเว้นการทำเหมืองในพื้นที่ 36,000 ตารางเมตร รอบๆ ตัวภาพวาด และทำข้อตกลงไว้ว่าพวกเขาจะมีการรายงานกับเจ้าหน้าที่ทันทีหากมีการค้นพบภาพเพิ่มเติม
ภาพฝาผนังแบบเต็มๆ
อย่างไรก็ตามข้อตกลงในเวลานั้นถูกตั้งขึ้นภายใต้ความคิดที่ว่าภาพดังกล่าวเป็นเพียงภาพวาดโบราณเท่านั้น โดยที่นักโบราณคดียังไม่มีการยืนยันอายุ หรือความบอบบางของมัน และตลอดเวลาที่ผ่านมา ทางบริษัท Tonasa ก็ไม่ได้มีการรายงานการค้นพบใหม่ใดๆ เลย
“พวกเราเชื่อในคำสัญญาของพวกเขา” คุณ Budianto กล่าว “แต่มันก็ปฏิเสธความจริงที่ว่า ด้วยความที่พวกเขาเป็นบริษัทที่มีแนวคิดต่างจากนักวิจัย การรายงานการค้นพบจะทำให้พวกเขาเสียกำไรไม่ได้เลย”
ภาพฝาผนังที่มองโดยไม่ใช่อุปกรณ์ช่วยใดๆ
เพราะอ้างอิงจากข้อมูลของนักวิทยาศาสตร์ แม้ว่าทางบริษัท Tonasa จะบอกว่าพวกเขาวางแผนที่จะทำให้ภาพวัวแดงที่ถูกพบเป็นสถานที่ท่องเที่ยวก็ตาม แต่ในปัจจุบันพวกเขากลับให้คน (ร่วมถึงนักวิจัยด้วย) เข้าไปในพื้นที่ได้ไม่เกิน 4 คนต่อครั้งเท่านั้น แถมพวกเขาก็ยังไม่ได้มีการตั้งอุปกรณ์ใดๆ ที่จะป้องกันการสัมผัสภาพโดยตรงเลยด้วยซ้ำ
และจากคำบอกเล่าของหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ได้มีโอกาสเข้าไปสำรวจภาพวาดในพื้นที่เอง พวกเขาก็พบร่องรอยของการเสื่อมสภาพของหินที่มีภาพวาดอยู่แล้วด้วย ถึงขนาดที่ในถ้ำบางแห่ง แผ่นหินที่มีภาพวาดวาดไว้ ได้พังทลายไปราว 2-3 เซนติเมตรทุกๆ 2 เดือนเลย
ที่มา theguardian, economist
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น