ลึกเข้าไปในผืนแผ่นดินใหญ่ของรัสเซีย นักโบราณคดีและทีมสำรวจ ได้ทำการค้นพบสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่จากยุคน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ซึ่งสร้างขึ้นมาจากกระดูกของช้างแมมมอธกว่า 60 ตัว
โบราณสถานแห่งนี้ตั้งอยู่ ภายในแหล่งโบราณคดีนามว่า Kostenki 11 ใกล้ๆ กับแม่น้ำดอนของเมืองโวโรเนจ โดยมันมีขนาดความกว้างถึง 12.5 เมตร และมีอายุได้มากถึง 25,000 ปี ทำให้โบราณสถานแห่งนี้กลายเป็นโบราณสถานจากกระดูกช้างแมมมอธที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุด เท่าที่เราเคยพบมาไป
อ้างอิงจากรายงานที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Antiquity เมื่อวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมา โบราณสถานที่ถูกพบในครั้งนี้ เป็นโบราณสถานที่ถูกสร้างเป็นวงกลมรูป ซึ่งล้อมรอบด้วยหลุมขนาดใหญ่ และในปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าคนสมัยก่อนใช้งานมันเพื่ออะไรกันแน่
เป็นไปได้ว่าหลุมที่อยู่กับตัวโบราณสถานนั้น อาจจะเคยเป็นหลุมที่มีไว้เพื่อใส่อาหาร เชื้อเพลิง หรือแม้แต่เป็นหลุมทิ้งขยะ และเหมืองหิน ในขณะที่ตัวอาคารที่ทำจากกระดูกแมมมอธเองก็อาจจะถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่าง
“นอกเหนือจากการถูกอธิบายว่าเป็นที่อยู่อาศัย โบราณสถานประเภทนี้ก็มักจะกตีความว่ามีความสำคัญทางพิธีกรรมเสมอ” คุณ Alexander Pryor นักเขียนหลักของงานวิจัยกล่าว
“อย่างไรก็ตามพิธีกรรมดังกล่าวจะเป็นอย่างไรนั้น ในปัจจุบันยังคงเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายได้ด้วยความรู้ด้านโบราณคดีเพียงอย่างเดียว”
นี่อาจจะฟังดูเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน แต่ในความเป็นจริงแล้ว โบราณสถานในรูปแบบนี้ เป็นแบบเดียวกับที่พบได้บ่อยๆ ในทางยุโรปตะวันออก โดยมันเคยถูกพบมาแล้วทั้งในช่วงปี 1950 ช่วงปี 1960 และในปี 2013
อย่างไรก็ตามโบราณสถานทั้งสามแห่งนี้ ไม่มีแห่งไหนเลยที่จะใหญ่และเก่าแก่ เท่ากับโบราณสถานที่ถูกพบในครั้งนี้
“การตรวจสอบกระดูกแมมมอธจำนวนมาก จากแมมมอธกว่า 60 ตัวเช่นนี้นับว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่งเลย” คุณ Alexander กล่าว “สิ่งเหล่านี้อาจจะถูกรวบรวมจากการสังหารได้ไม่นาน หรือรวบรวมมาจากซากกระดูกของแมมมอธที่ตายไปนานแล้วในพื้นที่ก็ได้”
“ไม่ว่าจะทางไหนกระดูกแมมมอธก็ถือว่าเป็นสิ่งที่หนักมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันยังมีความสดใหม่อยู่ ดังนั้นการจะแบกกระดูกเหล่านี้ไปๆ มาๆ เช่นนี้ มันจึงน่าจะต้องใช้แรงงานจำนวนมหาศาลเลยทีเดียว”
และก็ด้วยสิ่งที่คุณ Alexander กล่าวมานี้เอง ซึ่งทำให้โบราณสถานแห่งนี้ ถูกนับว่าเป็นหนึ่งในโบราณสถานที่มีความมหัศจรรย์สูงอย่างไม่น่าเชื่อเลย
ที่มา gizmodo, smithsonianmag, cnn
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น