ป่าแอมะซอน เดิมทีแล้วได้ชื่อว่าเป็นดังปอดข้างหนึ่งของโลก เนื่องจากที่แห่งนี้ นับว่าเป็นหนึ่งในป่าแห่งใหญ่ที่สุดของโลกเลยก็ว่าได้ ที่รับหน้าที่ที่ดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศ และเปลี่ยนมันเป็นออกซิเจนให้คนหายใจ ซึ่งทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ที่สำคัญที่สุดในโลกไปได้ไม่ยาก
ดังนั้นนี่อาจจะเป็นข่าวที่ไม่ดีสำหรับหลายๆ คน เมื่อวันที่ 10 มีนาคม ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมานักวิทยาศาสตร์ได้มีการออกมาเปิดเผยผ่านงานวิจัยในวารสาร Nature Communications ว่า
ในปัจจุบัน ป่าแอมะซอนนั้นกำลังอยู่ในจุดเสี่ยง “อย่างไม่มีวันหวนกลับได้” ที่จะหายไป โดยเหลือไว้เพียงระบบนิเวศคล้าย ทุ่งหญ้าแห้งแล้งในสะวันนา ภายในเวลา 50 ปีที่จะถึงนี้
อ้างอิงจากคุณ Simon Willcock นักเขียนหลักของงานวิจัย พวกเขาได้ข้อสรุปสุดน่ากลัวนี้มาจากการที่พวกเขาศึกษาข้อมูลการสูญเสียพื้นที่ป่าของป่าแอมะซอนและป่าอื่นๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
พวกเขาพบว่าตั้งแต่ในช่วงฤดูร้อนของปี 2019 โลกของเราได้พบกับเหตุการณ์ไฟป่ามากถึง 40,000 ครั้ง แถมยังต้องพบกับภาวะอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างหนัก และการถางป่าอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 11 ปีเลยด้วย
ทั้งหมดนี้ได้ทำให้ระบบนิเวศของป่าใหญ่ๆ อย่างป่าแอมะซอนได้หายไปมากกว่า 20% ของพื้นที่ป่าดังเดิมแล้ว และการสูญเสียดังกล่าวก็อาจจะมากได้ถึง 35% มากพอที่จะทำให้ป่าพังทลายลงไป ด้วยความเร็วที่น่ากลัวอย่างไม่น่าเชื่อ
อ้างอิงจากทีมวิจัย หนึ่งในกุญแจสำคัญของการพังทลายและเปลี่ยนแปลงทางระบบนิเวศครั้งนี้ มาจากการสูญเสียสัตว์ในห่วงโซ่การเกื้อกูลกันและกัน เช่น “ช้าง” ซึ่งแม้จะมีการล้มต้นไม้บ้างในบางครั้งแต่ก็นำเมล็ดพืชไปแพร่กระจายในพื้นที่อื่นๆ เช่นกัน
ดังนั้นหากเสียสัตว์พวกนี้ไป มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ระยะการเติบโตใหม่ของต้นไม้จะค่อยๆ ลดลงตามไปด้วย และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของภูมิประเทศ และผืนป่าได้ในเวลาสั้นq
“จริงอยู่ที่ป่าที่ปกติใหญ่กว่าป่าอื่นเกือบ 100 เท่าเช่นนี้ ย่อมต้องใช้เวลานานกว่าปกติกว่าจะหายไป แต่เวลาที่ว่ามันไม่ได้นานกว่าป่าอื่นๆ 100 เท่าอย่างที่เราคิด” คุณ John Dearing หนึ่งในทีมวิจัยกล่าว
“นั่นหมายความว่าระบบนิเวศที่ใหญ่ที่สุดที่เรามีในโลก กำลังมีแนวโน้มที่จะพังทลายไปเร็วกว่าที่เราคิดมาก ในเวลาหลักทศวรรษเท่านั้น”
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น