CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

สรุปสถานการณ์เดือดในอเมริกา ทรัมป์เตรียมเปิดเมือง ผู้ว่ารัฐค้าน ประชาชนประท้วงทวงเสรีภาพ

ในตอนนี้เรียกได้ว่าสถานการณ์โรคระบาด COVID-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกา กำลังน่าเป็นห่วงเอามากๆ เลยล่ะค่ะ ซึ่งตัวเลขผู้ติดเชื้อในวันที่ 18 เมษายน 2020 ทะลุ 710,021 ราย และมีผู้เสียชีวิตมากถึง 37,054 รายแล้ว

อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจจะเห็นข่าวสถานการณ์อันดุเดือดในประเทศสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ เพราะเริ่มมีคนออกมาเดินประท้วงกันมากมายบนถนน

วันนี้ #เหมียวนานะ จึงอยากมาเล่าสถานการณ์ในสหรัฐฯ ให้ทุกคนได้ฟังคร่าวๆ กันค่ะ

 

 

การประกาศวางแผนเปิดประเทศ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ

เมื่อวันที่ 15 เมษายน 2020 ประธานาธิบดีสหรัฐฯ Donald Trump ได้แถลงข่าวหน้าธรรมเนียบขาว

หนึ่งในคำประกาศของ Trump คือการบอกว่า “อเมริกาวางแผนจะเปิดประเทศในเร็วๆ นี้” เนื่องจากการล็อกดาวน์ในช่วง COVID-19 นี้ทำคนตกงานมากกว่า 22 ล้านคน (นับจากตัวเลขผู้ลงทะเบียนว่างงาน)

 

 

นอกจากนี้ดัชนีของอุตสาหกรรมการผลิตสินค้าต่างๆ ก็ร่วงลงมากกว่า 22% ทำให้ Trump ไม่นิ่งนอนใจ เตรียมประกาศคลายล็อกดาวน์ 3 ระยะ เพื่อกลับมากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศทันที

ซึ่ง Trump ยังบอกอีกว่า หลังจากที่เปิดประเทศแล้วทางรัฐบาลจะทำการเตรียมการตรวจหา COVID-19 อย่างเคร่งครัดมากกว่านี้ โดยแผนการเปิดธุรกิจบางส่วนอาจจะเริ่มระยะแรกในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้

 

 

การประกาศเปิดประเทศท่ามกลางเสียงคัดค้านของผู้ว่าการรัฐ

แน่นอนค่ะว่าตัวเลขของผู้ป่วยในสหรัฐฯ นั้นเป็นอันดับหนึ่งของโลก ทำให้เหล่าผู้ว่าการรัฐทั้งหมด 42 รัฐ จาก 50 รัฐในอเมริกาออกมาคัดค้านและออกคำสังให้ประชาชนล็อกดาวน์อยู่แต่ในบ้านทันทีที่ Trump ออกมาแถลงการณ์

ขออธิบายก่อนเลยค่ะว่าคำสั่งของ Trump ไม่ใช่อำนาจเบ็ดเสร็จที่จะสั่งทุกรัฐได้เลย เพราะเหล่าผู้ว่าการต้องยอมรับคำสั่งนี้ด้วยจึงทำให้หลายๆ รัฐยังคงล็อกดาวน์อยู่นั่นเอง

 

 

หลังจากที่ประกาศออกมาโดยไม่ปรึกษาเพื่อนแล้ว งานนี้เหล่าผู้ว่าการรัฐใหญ่ๆ ไม่อยู่เฉยค่ะ Andrew Cuomo ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กออกมาฉะ Trump ทันทีว่าเขาไม่มีอำนาจเด็ดขาดเหมือนกษัตริย์ที่จะมาสั่งให้ทำแบบนี้ได้ตามรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ

“พวกเรามีรัฐธรรมนูญ พวกเราไม่มีกษัตริย์ พวกเรามีประธานาธิบดี”

Andrew กล่าว และยังบอกอีกว่าประกาศนี้ยังเร็วเกินไป ทำให้ประชาชนเสี่ยงติดเชื้อ COVID-19 มากขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

 

 

ทำให้ในตอนนี้มีทั้งหมด 10 รัฐที่วางแผนกำหนดระยะเวลาเปิดภาคธุรกิจเองในเวลาที่เหมาะสมโดยไม่ขึ้นตรงกับ Trump ซึ่งคาดว่าจะเปิดหลัง Trump ไปอีกนานเลยล่ะ

 

การคัดค้านเปิดประเทศ นำมาสู่การประท้วงทวงคืนเสรีภาพ

อย่างที่กล่าวไปว่ามีผู้ว่าการหลายรัฐที่ไม่เห็นด้วยกับประกาศของ Trump นั่นจึงก่อให้เกิดการประท้วงของประชาชนทันที

เชื่อว่าหลายคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วค่ะว่าประชาชนอเมริกาเขารักเสรีภาพยิ่งกว่าใครบนโลกใบนี้

 

 

การประกาศให้ประชาชนล็อคดาวน์ตั้งแต่เดือนมีนาคมว่าแย่แล้ว พอ Trump ออกมาบอกว่าจะประกาศเปิดเมืองยิ่งทำให้ประชาชนผู้อยู่ในรัฐที่ล็อกดาวน์ยิ่งลุกฮือขึ้นมาทวงเสรีภาพของตัวเองทันทีค่ะ

เพราะพวกเขาคิดว่าโรคนี้ไม่ได้เลวร้ายนี่หว่า ทำไมประธานาธิบดีถึงจะเปิดประเทศ แต่ผู้ว่าการรัฐมาขังเราไว้แบบนี้ล่ะ มีคนถึงกับถือป้ายว่า “Fake Crisis” หรือวิกฤตปลอมว่ะ ออกมาด้วย เอาสิ!

 

 

โดยบางส่วนบอกว่าตนดูแลตัวเองได้ ไม่อยากตกเป็นทาสที่ต้องมาขังตัวเองอยู่แต่ในบ้าน บางคนบอกว่าอยากทำงานโว้ยเลิกล็อคดาวน์ได้แล้วสิวะ

กลุ่มผู้ประท้วงเหล่านี้ใช้ชื่อว่า Operation Gridlock หรือเอาง่ายๆ ก็พวกแอนตี้ล็อกดาวน์แหละค่ะ ซึ่งในตอนนี้มีประชาชนในรัฐใหญ่ๆ อย่างมิชิแกน เคนทักกี นอร์ทแคโรไลนา และอื่นๆ เริ่มออกมาประท้วงกันเต็มไปหมด

มีทั้งการถือป้ายชุมนุม พาลูกเล็กเด็กแดงมาร่วมด้วย ปิดถนน และที่หนักที่สุดก็คงเป็นการถือปืนมาร่วมประท้วงนี่แหละ

 

การปิดถนนชุมนุมในนครแลนซิง รัฐมิชิแกน

 

การประท้วงยิ่งหนักขึ้นเมื่อ Gretchen Whitmer ผู้ว่าการรัฐออกมาวิจารณ์เหล่าผู้ประท้วง

 

การถือปืนประท้วงหน้าศาลากลาง

 

การประท้วงในรัฐเคนทักกี

 

ในตอนนี้ Trump ก็ไม่อยู่เฉยค่ะ ออกมาทวิตถึงประชาชนรัฐต่างๆ ให้ออกมาต่อต้านการล็อกดาวน์อีกด้วย งานนี้บอกเลยว่าเดือดจัด

 

เสรีภาพในมินนิโซตา!

 

เสรีภาพในมิชิแกน!

 

เสรีภาพในเวอร์จิเนีย!

 

แน่นอนการประท้วงต่างๆ นี้ก็มีคนไม่เห็นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคนที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์นี่แทบปาดเหงื่อกันไปตามๆ กันเลยค่ะ

เพราะการปิดถนนมันยิ่งทำให้การเดินทางไปทำงานยากขึ้นไปอีก ไม่พอการชุมนุมแบบนี้จะทำให้ยอดผู้ป่วยกลับมาพุ่งขึ้นอีกด้วย

เรียกได้ว่าเป็นสถานการที่ดุเดือดจริงๆ ค่ะ ประชาชนเขามองเรื่องเสรีภาพเป็นใหญ่เอามากๆ และคิดว่าสถานการณ์ COVID-19 ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่พวกเขาคิด ขอบอกว่าปวดขมองแทนเหล่าผู้นำและทีมแพทย์จริงๆ

 

ที่มา: bbc, bbc, motherjones, washingtontimes, realDonaldTrump

Comments

ใส่ความเห็น