เพื่อนๆ เคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ “โรคอุกกาบาตคารานคัส” กันมาก่อนไหม? นี่คือเรื่องราวของโรคลึกลับที่เกิดขึ้นกับผู้คนในพื้นที่เมืองคารานคัส รัฐอองเดร ประเทศเปรู ในปี 2007 และเชื่อกันมาอย่างยาวนานว่าเกิดขึ้นจากเหตุการณ์อุกกาบาตตกในพื้นที่
จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
เหตุการณ์ในครั้งนี้ เริ่มต้นขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 15 กันยายน 2007 เมื่อมีหินหนัก 12 ตันลูกหนึ่ง พุ่งลงมาจากฟ้าและชนเขากับพื้นโลก ทำให้เกิดหลุมที่ท่วมไปด้วยน้ำใต้ดิน ลึก 6 เมตร กว้าง 30 เมตร ในพื้นที่
ก้อนหินในเวลานั้น ถูกพบโดยคนในพื้นที่และถูกส่งไปตรวจสอบโดยนักวิทยาศาสตร์อีกที ซึ่งทำให้ในภายหลังเราได้รับการยืนยันว่า หินลูกนี้ แท้จริงแล้วเป็นอุกกาบาต ที่มีองค์ประกอบจากแร่อย่างโอลิวีน ไพโรซีน และเฟลด์สปาร์ต่างหาก
หนึ่งในตัวอย่างของอุกกาบาตที่ถูกเก็บไว้ได้ในเวลานั้น
แน่นอนว่าการค้นพบอุกกาบาตยอมไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในพื้นที่เป็นแน่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ถือว่าแปลกของเหตุการณ์ในครั้งนี้ กลับกันเรื่องราวของโรคอุกกาบาตคารานคัส กลับไม่ได้มาจากตัวอุกกาบาตเสียทีเดียว แต่มาจากน้ำที่อยู่ในหลุมของมันมากกว่า
อ้างอิงจากบันทึกในอดีต ในตอนที่เหตุการณ์อุกกาบาตตกเกิดขึ้นนั้น มีชาวบ้านจำนวนมากได้เข้าไปมุงดูหลุม อุกกาบาตที่เกิดขึ้น โดยพวกเขารายงานว่าน้ำในหลุมในเวลานั้น ได้ไหลท่วมอุกกาบาตทั้งลูก แถมยังเดือดจัด ด้วยความร้อน และส่งกลิ่นประหลาดคล้ายกำมะถันพร้อมควันจำนวนหนึ่งด้วย
อาการของโรคร้าย
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ชาวบ้านเลี่ยงที่จะสัมผัสกับน้ำโดยตรงก็จริงอยู่ แต่น่าแปลกที่ไม่นานหลังจากนั้น คนในหมู่บ้านกลับค่อยๆ ล้มป่วยลงไปทีละคน ซึ่งทำให้เกิดความเชื่อที่ว่าอุกกาบาตที่ตกมานั้นจริงๆ แล้วอาจเป็นพิษได้ไม่ยาก
อาการของผู้ป่วยโรคอุกกาบาตคารานคัสนั้น ถูกระบุไว้ทั้งอาการ คลื่นไส้ เวียนหัว ปวดศีรษะ และอาเจียน โดยทั้งหมดไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน ซึ่งในเวลาต่อมาก็อาจจะลุกลามไปเป็นอาการปัญหาเกี่ยวกับดวงตา หรือผิวระคายเคืองได้
เท่านั้นยังไม่พอชาวบ้านยังค้นพบหลังจากนั้นด้วยว่า สัตว์ที่พวกเขาเลี้ยงไว้นั้น บางส่วนเริ่มมีเลือดไหลออกจากจมูกและล้มตายอย่างมีปริศนาด้วย ซึ่งความจริงในจุดนี้บวกกับการที่ชาวบ้านมีการสูบน้ำจากใต้ดินมาใช้ มันก็ทำให้มีชาวบ้านหลายคนไม่น้อยที่กลัวว่าน้ำที่หมู่บ้านจะไม่ปลอดภัยต่อการบริโภคอีกต่อไปแล้ว
ความเชื่อและความเป็นไปได้
จากรายงานของสำนักข่าวรัฐบาลของเปรูอย่าง “Andina” ในตอนที่สถานการณ์ของเมืองคารานคัส สงบลงทางโรคพยาบาลก็ต้องพบว่ามีคนไข้เข้ามารักษาตัวด้วยอาการประหลาดนี้ถึง 200 คน โดยในบรรดาคนเหล่านี้ 15 รายซึ่งเชื่อว่าเข้าใกล้อุกกาบาตที่สุดได้ถูกเจาะเลือดไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกที
แน่นอนว่าสำหรับชาวบ้านแล้วพวกเขาเชื่ออย่างปักใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับอุกกาบาตเป็นแน่ โดยชาวบ้านส่วนหนึ่ง เชื่อว่าก็กำลังป่วยด้วยโรคร้ายจากนอกโลก ในขณะที่ชาวบ้านอีกส่วนมองว่านี่จะต้องเป็นโรคต้องสาปแน่ๆ
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ร้อนไปถึงเหล่าผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์ที่จะต้องมาไขปริศนาเรื่องที่เกิดขึ้น โดยจากการตรวจสอบของพวกเขาแล้ว เหล่านักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาบอกว่ามันมีความเป็นไปได้สูงที่อาการป่วยของชาวบ้านจะเกี่ยวข้องกับ “สารหนู”
พวกเขาอธิบายว่าในตอนที่อุกกาบาตตกลงมานั้น มันอาจจะมีความเป็นไปได้ที่สารหนูบางส่วนจะปนเปื้อนลงไปในน้ำ ในขณะที่สารหนูอีกส่วนระเหยไปจากความร้อน ซึ่งทำให้คนที่เขาใกล้อุกกาบาตสูดดมหรือสัมผัสน้ำเข้าไปจนมีอาการป่วยก็เป็นได้
นี่นับว่าเป็นทฤษฎีที่มีเหตุมีผลเป็นอย่างมาก และได้รับการยอมรับจากหลายๆ ฝ่ายก็จริงอยู่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามมันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีจุดอ่อนเลยเช่นกัน นั่นเพราะแนวคิดในจุดนี้ไม่ได้มีการระบุไว้ว่าการหนูที่เป็นต้นเหตุของการเจ็บป่วยนั้นแท้จริงแล้วมาจากไหน (อย่างปนเปื้อนบนพื้นอยู่แล้วหรือมาจากอุกกาบาตเอง)
และที่สำคัญทีมนักวิทยาศาสตร์บางกลุ่มเองก็ตั้งข้อสงสัยเช่นกันว่า อุกกาบาตที่ตกลงบนน้ำเช่นนี้ ไม่น่าจะสามารถร้อนพอที่จะทำให้น้ำระเหยจนเกิดควันและกลิ่น ในปริมาณที่ชาวบ้านอธิบายไว้ได้เลย
ดังนั้นแม้ว่าเหตุการณ์ในครั้งนี้จะถือเป็นคดีที่ปิดไปแล้ว สำหรับหลายๆ คน ในก็ยังมีคนอีกกกลุ่มหนึ่งเช่นกันที่ยังคงมองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นปริศนาที่ยังไม่ได้รับการไขให้กระจ่าง แม้แต่ในปัจจุบัน
ที่มา allthatsinteresting, meteorite-recon และ theguardian
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น