ย้อนกลับไปเมื่อราวๆ 140 ปีก่อน ในช่วงสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา เรือใบซคูเนอร์สองลำ “St. Andrews” ที่บรรทุกถ่านหิน และ “Peshtigo” ที่บรรทุกข้าวโพด ได้เกิดการชนกันเข้าที่ผืนน้ำระหว่างเกาะบีเวอร์และเกาะฟ็อกซ์ในทะเลสาบมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ก่อนที่จะจมลงไปใต้ทะเลในปี 1878 และหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์
ไม่มีใครทราบว่าเรือที่จมไปทั้งสองนั้น หลับใหลอยู่ที่ส่วนไหนของทะเลสาบมิชิแกนเป็นเวลากว่าศตวรรษหลังจากนั้น จนกระทั่งในช่วงปี 2009 เมื่อนักดำน้ำวัย 63 ปี อย่างคุณ Bernie Hellstrom ได้ค้นพบ “อุปสรรคลึกลับ” ในตอนที่เขาใช้เครื่องวัดความลึกของท้องน้ำ
และแล้วเมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง คุณ Bernie Hellstrom ก็ได้กลับมาทำการสำรวจสิ่งที่เขาเคยพบในทะเลสาบมิชิแกนอีกครั้ง พร้อมๆ กับอุปกรณ์ดำน้ำครบชุด ทีมนักดำน้ำด้านเทคนิค และกล้องแบบพิเศษ ก่อนที่จะพบกับเรือสองลำ ที่เคยหายไปจากประวัติศาสตร์ในที่สุด
โดยเรือ St. Andrews และ Peshtigo นั้น หลับใหลอยู่ใต้น้ำด้วยระยะห่างจากกันไม่ถึง 3 เมตรในสภาพที่เสากระโดงเรือหักลงมาทับกันและกัน และมีรูขนาดใหญ่ที่ตัวเรือลำหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักฐานอย่างดีว่าบันทึกที่ว่าเรือทั้งสองเคยชนกันเองจริงๆ และน่าจะจมลงไปอย่างรวดเร็วเลยด้วย
อ้างอิงจากบันทึกของนักโบราณคดีทางทะเลคุณ Brendon Baillod ดูเหมือนว่าการชนกันเองในครั้งนี้จะไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจแต่เป็นเพราะความผิดพลาดในการสื่อสารด้วยคบเพลิง ส่งผลให้มีลูกเรือของ Peshtigo สองคนสูญหายไป ในขณะที่ลูกเรือที่เหลือถูกช่วยไปโดยเรืออีกลำที่ผ่านมาพอดี
นอกจากนี้ คุณ Brendon ยังให้ข้อมูลเพิ่มเต็มไว้ด้วยว่าในทะเลสาบมิชิแกน มีซากเรือที่จมอยู่มากถึง 6,000 ลำและเรือ St. Andrews กับ Peshtigo เองก็เคยถูกเข้าใจผิดว่าจมอยู่ในที่อีกแห่งซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันออกมาก่อนแล้วด้วย
ดังนั้นนอกจากการค้นพบนี้จะช่วยให้เราพบกับเรือที่เคยหายไปอีกครั้งแล้ว มันยังทำให้เกิดคำถามใหม่ที่น่าสนใจอีกข้อด้วย นั่นคือสิ่งที่เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นซากเรือทั้งสองลำนั้น แท้จริงแล้วคืออะไรกันแน่?
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น