มันเป็นเรื่องที่เราได้ยินกันอยู่บ่อยๆ ว่าภาวะโลกร้อนนั้น ในปัจจุบันกำลังส่งผลกระทบต่อโลกในระดับที่น่ากลัว เพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้อากาศร้อนขึ้น แต่มันยังทำให้น้ำแข็งในขั้วโลกกำลังค่อยๆ ละลายหายไปด้วย
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ แน่นอนว่าจะส่งผลต่อระดับน้ำทะเลทั่วโลกทำให้มนุษย์ต้องสูญเสียที่อยู่อาศัยแถบชายฝั่งหลายแห่งไป แต่เชื่อกันหรือไม่ว่านี่อาจจะไม่ใช่ปัญหาเดียวที่เราต้องเผชิญจากภาวะโลกร้อนก็ได้
เพราะเมื่อล่าสุดนี้เอง ทีมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้ออกมาเตือนอีกครั้งว่า ภาวะโลกร้อนในปัจจุบันนั้น อาจจะไปปลุก “จุลินทรีย์” จากยุคโบราณขึ้นมาก็ได้ และการตื่นขึ้นนี้ก็อาจจะทำมาซึ่งโรคร้ายที่เราไม่รู้จักมาก่อนด้วย
อ้างอิงจากจากงานวิจัยในอดีต ภายใน “ชั้นดินเยือกแข็งคงตัว” หรือ “เพอมาฟอส” ทั่วโลกนั้น ยังมีจุลินทรีย์โบราณอย่าง ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา และสาหร่าย นับล้านล้านตัวหลับใหลอยู่ภายในมาเป็นเวลานานกว่าพันปี
ตัวอย่างที่ดีของจุลินทรีย์โบราณที่อาจจะตื่นขึ้นมานั้น ถูกพบได้ในเพอมาฟอสที่ทิเบต
โดยในงานวิจัยจากวารสาร Biorxiv เมื่อเดือนมกราคม ปี 2020 ทีมนักวิทยาศาสตร์ร่วมระหว่างสหรัฐอเมริกา และประเทศจีน ก็ได้ค้นพบไวรัสกว่า 33 กลุ่ม ในตัวอย่างน้ำแข็งเพียง 2 ชิ้น
และในจำนวนนั้น มีอยู่ถึง 28 ชนิดซึ่งนักวิทยาศาสตร์ไม่เคยรู้จักมาก่อน (โชคดีที่ในเวลานั้น ไวรัสที่พบส่วนมากจะไม่มีอันตรายต่อคน)
การค้นพบในครั้งนั้น สร้างความหวาดกลัวให้กับนักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะในช่วงปี 2016 เราก็เคยมีหลักฐานมาแล้วว่าโรคร้ายจากในอดีตนั้น สามารถกลับมาสร้างปัญหาอีกครั้งได้หากมีปัจจัยที่ดีพอ
อย่างในช่วงปี 2016 เอง เราก็เคยมีเหตุการณ์ชื่อ “โรคระบาดที่ไซบีเรีย” ซึ่งซากกวางเรนเดียร์ที่ติดเชื้อจากในเพอมาฟอส ละลายออกมาเพราะความร้อน จนมีคนจำนวนหนึ่งต้องล้มป่วยจากการติดเชื้อแบคทีเรียมาแล้ว
และที่สำคัญคือในช่วง “ ไข้หวัดสเปน” เมื่อปี 1918 เราก็มีศพผู้ติดเชื้อไม่น้อยเลยด้วย ที่ถูกฝังไว้ในเพอมาฟอสที่อลาสก้า
ดังนั้น แม้ว่าเราจะยังไม่มีอะไรรับประกันได้ก็ตามว่าจุลินทรีย์จากยุคโบราณจะทำให้เกิดโรคระบาดใหญ่ได้ก็ตาม แต่มันก็เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการปล่อยให้น้ำแข็งทั่วโลกละลายไปเพราะภาวะโลกร้อนย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ๆ
และนี่ก็อาจจะเป็นเหมือนอีกสัญญาณเตือนหนึ่งที่ของวิกฤตสภาพภูมิอากาศโลกเลยก็ได้ ว่ามันถึงเวลาจริงๆ แล้วที่เราจะต้องทำอะไรสักอย่างกับภาวะโลกร้อนในปัจจุบัน ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ไปจริงๆ
ที่มา livescience, iflscience และ sciencedaily
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น