มันเป็นความเรื่องที่ทุกคนทราบกันดีว่าในร่างกายของเรานั้น มีเลือดไหลเวียนอยู่ และมันก็เป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรายังคงมีชีวิตอยู่ได้ในแต่ละวันด้วย
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม หากมองลงไปลึกๆ แล้ว โลหิตซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ในร่างของทุกคนนี้ กลับเป็นอะไรที่ยังคงเต็มไปด้วยปริศนา และมีเรื่องที่เรายังไม่เคยทราบมาก่อนอยู่อีกมาก
ดังนั้น เพื่อเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับของเหลวสีแดงแสนสำคัญในร่างกายของเรา ในวันนี้เราจึงจะนำ 11 ความจริงสุดน่าสนใจ ที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเลือดมาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันครับ
1. เราจะต้องใช้ยุงราวๆ 1,120,000 ตัวในการดูดเลือดให้หมดตัวผู้ใหญ่หนึ่งคน

2. มนุษย์เราอาจสูญเสียเลือดได้ถึง 40% และยังมีชีวิตรอดหากโชคดี แม้จะต้องได้รับการถ่ายเลือดทันทีหลังจากนั้นก็ตาม

3. ในปี 2012 ชายวัย 55 ปีชื่อ Craig Lewis ได้กลายเป็นชายคนแรกในโลกที่มีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีชีพจร เนื่องจากระบบไหลเวียนโลหิตเทียมแบบใหม่

4. ในช่วงปี 2014-2016 มีชายชื่อ Stan Larkin ใช้ชีวิตอยู่ 555 วันโดยไม่มีหัวใจ เนื่องจากเขาต้องรอการปลูกถ่าย
ซึ่งในระหว่างนั้นเข้าก็พึ่งพาหัวใจเทียมที่บรรจุไว้ในกระเป๋าเป้แทน

5. ราวๆ 21% ของอาการหัวใจวายทั้งหมดเกิดขึ้นในวันจันทร์ (อันดับสองเป็นวันศุกร์)
โดยนักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าสาเหตุอาจเป็นเพราะฮอร์โมนความเครียดที่หลั่งออกมาในช่วงต้นสัปดาห์ก็ได้

6. น้ำมะพร้าวมีองค์ประกอบที่คล้ายคลึงกับน้ำในเซลล์เม็ดเลือดแดง
แต่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันเราจะยังไม่มีหลักฐานใดๆ ว่ามัน ใช้แทนกันได้

7. จากงานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในปี 2012 คนเลือดกรุ๊ป O จะมีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด “น้อยกว่า” คนเลือดกรุ๊ปอื่น
แต่ในทางกลับกันพวกเขาก็เสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งผิวหนังหรือโรคอ้วนมากกว่าเช่นกัน
8. มนุษย์เราเพิ่งจะเข้าใจเรื่องกรุ๊ปเลือดจากการค้นพบของ Karl Landsteiner ในปี 1901 เท่านั้น
ในขณะที่เราเข้าใจเรื่องการไหลเวียนโลหิตในช่วงศตวรรษที่ 17

9. จากงานวิจัยในอู่ฮั่น คนเลือดกรุ๊ป O จัดเป็นกรุ๊ปเลือดที่เสี่ยงต่อการติดโรค โควิด-19 น้อยที่สุด
ในขณะที่อันดับความเสี่ยงของกรุ๊ปเลือดอื่นๆ ผันแปรกันไป ตามงานวิจัย

10. ราวๆ 3-4% ของผู้คนมีอาการกลัวเลือดอย่างรุนแรงชื่อ “Blood-Injection-Injury Phobias”
โดยผู้มีอาการนี้ส่วนใหญ่ มักจะมีจุดร่วมคือจะเป็นลมในกรณีที่เห็นเลือดแม้เพียงนิดเดียว

11. ในสมัยก่อนผู้คนมักเชื่อว่า “การรีดเลือด” (Bloodletting) สามารถรักษาโรคได้
นั่นเพราะในสมัยก่อนมีความเชื่อว่าอาการป่วยของมนุษย์เกิดจากของเหลวในร่างกายเป็นพิษนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าบ่อยครั้งการทำเช่นนี้ก็ทำให้อาการป่วยแย่ลงแทน

ที่มา mentalfloss และ brightside
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น