ลึกเข้าไปในแนวเนินเขาทางตอนเหนือของประเทศกรีซ ยังคงมี “ภูเขาศักดิ์สิทธิ์” อยู่แห่งหนึ่ง ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการเป็นที่ตั้งของอารามโบราณอายุ 2,000 ปี ชื่อ “Pantokratoros” ซึ่งในสมัยก่อนมีเพียงแต่ผู้ชายเท่านั้นที่จะเข้าไปได้
อย่างไรก็ตามในการบูรณะครั้งล่าสุดของอารามโบราณแห่งนี้ ทีมนักโบราณคดีกลับต้องพบกับเรื่องน่าแปลกใจเข้าเรื่องหนึ่ง เพราะในบรรดาโครงกระดูกของเหล่าบุรุษจำนวนมากที่พบในอารามแห่งนี้ กลับมีโครงกระดูกอยู่ชิ้นหนึ่งที่ดูยังไงก็น่าจะเป็นของสตรีอยู่เสียอย่างนั้น
อ้างอิงจากคุณ Laura Wynn-Antikas กระดูกที่ถูกพบชิ้นนี้มี รูปร่างโดยร่วมที่สื่อถึงความเป็นผู้หญิง ไม่ว่าจะเป็นขนาดโดยรวมที่เล็กกว่ากระดูกทั่วไปของผู้ชาย หรือรูปร่างของกระดูกส่วนต่างๆ เช่น กระดูกใต้กระเบนเหน็บ กระดูกหน้าแข้ง หรือกระดูกส่วนปลายแขน
“ในขณะที่กระดูกของคนอื่นมีความแข็งแกร่งกว่าและมีโครงร่างของผู้ชายอย่างชัดเจน กระดูกชิ้นนี้กลับมีลักษณะอยู่ในเกณฑ์ของผู้หญิงเสียมากกว่า” คุณ Laura กล่าว
ในกรณีที่โครงกระดูกที่พบเป็นของผู้หญิงจริงๆ นี่จะถือเป็นการค้นพบที่น่าสนใจเอามากๆ เพราะความเคร่งของอาราม Pantokratoros ในอดีตนั้นถือว่าสูงมากถึงขนาดที่ว่าแม้แต่สัตว์ตัวเมียก็ยังไม่ได้รับอนุญาตให้นำเข้ามายังอารามเลยด้วยซ้ำ
ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเลยเช่นกันที่ในอารามแห่งนี้จะมีผู้หญิงแอบเข้ามาอาศัยอยู่ เพราะในทางประวัติศาสตร์เอง ตั้งแต่ปี ค.ศ. 382 เป็นต้นมา ตัวอาราม Pantokratoros ก็เคยมีประวัติถูกผู้หญิงปลอมตัวเป็นผู้ชายเข้าไปอยู่ราวๆ 12 ครั้ง
ดังนั้นการที่จะบอกว่าผู้หญิงคนนี้บังเอิญ โชคดีสามารถซ่อนตัวในอารามได้เป็นเวลานานก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย
แต่ในขณะเดียวกัน แค่ขนาดของกระดูกเพียงอย่างเดียว ก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะสามารถนำมาใช้ฟันธงได้ว่ากระดูกที่พบจะต้องเป็นของผู้หญิงแน่ๆ ได้ และในอดีตเองเราก็มีตัวอย่างจำนวนมากของการที่นักโบราณคดีชี้เพศของโครงกระดูกที่พบผิด มาแล้วเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้เอง นักโบราณคดีจึงยังจำเป็นที่จะต้องมีการตรวจสอบกระดูกที่พบเพิ่มเติมกันอีกครั้ง ก่อนที่เราจะสามารถมั่นใจได้ว่าโครงกระดูกร่างนี้เป็นของผู้หญิงจริงๆ หรือไม่
ซึ่งในปัจจุบันเองตัวโครงกระดูกก็ได้ถูกส่งไปตรวจสอบโดยทีมนักวิทยาศาสตร์ในห้องทดลองที่เอเธนส์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเราก็คงจะได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากนักวิทยาศาสตร์อีกครั้ง ภายในเร็วๆ นี้
ที่มา foxnews และ theguardian
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น