ความไม่เป็นธรรมในการตัดสินคดีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์ และยิ่งประเทศกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่การเหยียดชนชาติเป็นเรื่องปกติด้วยแล้ว การที่คนคนหนึ่งจะกลายเป็นคนร้ายเพียงเพราะสีผิว ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลย
นี่เป็นเรื่องราวของ “จอร์จ สตินนีย์ จูเนียร์” เด็กชายผิวสีผู้ถูกประหารชีวิตด้วยจากการสืบสวนที่ไม่เป็นธรรมเมื่อปี 1944 และกลายเป็นเด็กผิวสีที่อายุน้อยที่สุด ซึ่งถูกประหารชีวิตในสหรัฐอเมริกา
สตินนีย์ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมเด็กหญิงสองคนในเซาท์แคโรไลนาเมื่อตอนที่เขาอายุได้ 14 ปี และถูกลงมติว่ามีความผิดจริงโดยคณะลูกขุน (ซึ่งเป็นคนผิวขาวทั้งหมด) หลังจากที่มีการพิจารณาคดีได้เพียงแค่หนึ่งวัน
ในความเป็นจริงแล้วการตัดสินคดีในครั้งนี้มีจุดน่าสงสัยอยู่หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นการที่ลูกขุนใช้เวลาเพียง 10 นาทีในการลงมติ หรือการที่หลักฐานของคดีมีเพียงคำกล่าวอ้างของเจ้าหน้าที่ที่ว่าสตินนีย์รับสารภาพหลังถูกจับกุม
น่าแปลกที่ทางตำรวจไม่มีการบันทึกคำรับสารภาพเป็นลายลักษณ์อักษรเก็บไว้แต่อย่างใด และสตินนีย์ก็ถูกนำตัวไปประหารชีวิตทันทีหลังจากที่คำตัดสินออกมา โดยที่ไม่มีโอกาสได้ยื่นอุทธรณ์ด้วย
สตินนีย์ กับเด็กหญิงสองคนที่ทางตำรวจบอกว่าถูกเขา “สังหาร”
นอกจากนี้จากการรายงานของสื่อท้องถิ่น ครอบครัวของสตินนีย์เอง ก็ถูกบังคับให้ออกจากเมืองไปในตอนที่สตินนีย์ถูกจับอีกด้วย
ความไม่เป็นธรรมของการตัดสินคดีในครั้งนี้ถูกเปิดเผยออกมาหลังจากนั้นนานพอสมควร แต่กว่าที่จะเป็นเช่นนั้น สตินนีย์ก็ต้องเสียชีวิตไปอย่างไร้ความเป็นธรรมเสียแล้ว
เพราะเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 1944 หลังจากที่ถูกกักขังมายาวนานกว่า 81 วัน สตินนีย์ก็ถูกส่งเข้าไปในห้องประหารในที่สุด เขาถูกประหารชีวิตด้วยเก้าอี้ไฟฟ้า และจบชีวิตลงโดยที่ไม่มีใครรู้ถึงความจริงเบื้องหลังคดีในครั้งนี้เลย
ฉากการประหารชีวิตของสตินนีย์ ที่ถูกจำลองขึ้นในหนังเรื่อง Carolina Skeletons
(ตัวละครในหนังชื่อ Linus Bragg)
บางคนก็บอกว่าการตัดสินคดีครั้งนี้เกิดขึ้นจากอคติที่มีต่อคนผิวสีในสมัยนั้น ในขณะที่หลายๆ คนสังเกตถึงขั้นตอนการตัดสินที่รวบรัดอย่างผิดวิสัย และเชื่อว่าสตินนีย์เป็นเพียงแค่ “แพะ” ของคดีเท่านั้น
จนกระทั่ง 70 ปีต่อมาหลังจากวันที่สตินนีย์เสียชีวิต ในที่สุดเมื่อปี 2014 ผู้พิพากษาแห่งเซาท์แคโรไลนาก็ออกมาพิสูจน์ว่าการตัดสินในครั้งนั้นไม่มีความเป็นธรรมจนได้
พี่น้องของสตินนีย์ในการพิสูจน์ความไม่เป็นธรรมของคดีเมื่อ 70 ปีก่อน
ทั้งนี้ เรื่องราวของเขาเป็นต้นแบบให้กลายมาเป็นงานเขียนและภาพยนตร์ชื่อดัง The Green Mile ซึ่งออกฉายในปี 1999 ใครที่สนใจก็ลองหามารับชมเพิ่มเติมกันได้นะครับ..
ที่มา snopes, allthatsinteresting, independent
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น