หากเพื่อนๆ ยังคงจำกันได้ เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีข่าวภาพถ่ายทางดาวเทียมจากสถาบันการศึกษานานาชาติมิดเดิลบูรี ได้ทำการจับภาพศูนย์การบินอวกาศอิหม่ามโคไมนิ และพบว่าในที่แห่งนี้มีร่องรอยการทดลองส่งดาวเทียมดวงที่สามปรากฏให้เห็น หลังอิหร่านปล่อยดาวเทียมล้มเหลวไป 2 ครั้งเมื่อต้นปี
(อ่านข่าวเก่าได้ที่ ภาพถ่ายทางดาวเทียมชี้ อิหร่านอาจพยายามส่งดาวเทียมอีกรอบ หลังพลาดไป 2 ครั้งเมื่อต้นปี)
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา จู่ๆ ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกานายโดนัลด์ ทรัมป์ก็ได้ออกมาทำการโพสต์ภาพถ่ายทางดาวเทียมภาพหนึ่งในทวิตเตอร์ของเขา ซึ่งมีการแสดงให้เห็นว่าการทดลองปล่อยจรวดของอิหร่าน อาจจบลงด้วยความผิดพลาดอีกครั้ง เนื่องจากจรวดเกิดการระเบิดขึ้น
ภาพถ่ายที่ออกมานี้ ถูกยืนยันว่าเป็นความจริงโดยทางอิหร่านเป็นหลังแรกในวันจันทร์ที่ 2 กันยายน โดยมีการอธิบายเสริมว่าการระเบิดที่เกิดขึ้นที่ศูนย์การบินอวกาศอิหม่ามโคไมนินั้น เกิดขึ้นจากความผิดพลาดทางเทคนิคระหว่างการทดสอบ
แน่นอนว่าด้วยรูปแบบภาพที่ออกมาและการทดลองที่จบลงด้วยการระเบิดก็ทำให้มีหลายฝ่ายที่สงสัยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือไม่ โดยเฉพาะเมื่อโครงการอวกาศของอิหร่านไม่ได้รับการยอมรับจากสหรัฐฯ มากนักเนื่องจากความกังวลว่าโครงการนี้จะเป็นการพัฒนาขีปนาวุธโดยใช้โครงการอวกาศบังหน้า
สำหรับเรื่องนี้คุณ Ali Rabiei โฆษกรัฐบาลของอิหร่าน ก็ได้ออกมาให้การยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น ได้รับการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดีแล้ว และไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งการระเบิดก็เกิดขึ้นในฐานปล่อยสำหรับทดสอบ ไม่ใช่ฐานปล่อยตัวหลักด้วย
อย่างไรก็ตามคุณ Rabiei ได้มีการติเตียนนายโดนัลด์ ทรัมป์อยู่เล็กน้อยสำหรับการกระทำที่เขาเผยแพร่ภาพหลังการระเบิดที่มาจากดาวเทียมแอบถ่าย โดยมีการบอกว่าทางอิหร่านไม่เข้าใจว่าทำไมประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาถึงได้ทวีตเรื่องราวแบบนี้ด้วยความตื่นอกตื่นใจนักเช่นกัน
ทวีตต้นฉบับของนายโดนัลด์ ทรัมป์
The United States of America was not involved in the catastrophic accident during final launch preparations for the Safir SLV Launch at Semnan Launch Site One in Iran. I wish Iran best wishes and good luck in determining what happened at Site One. pic.twitter.com/z0iDj2L0Y3
— Donald J. Trump (@realDonaldTrump) August 30, 2019
ที่มา cbsnews, sputniknews และ timesofisrael
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น