**เหตุการณ์ต่อไปนี้อาจมีภาพเนื้อหาที่รุนแรง จึงอยากให้ผู้อ่านทุกท่านทำใจให้ดีก่อนจะเลื่อนลงไปรับชม
เชื่อว่าหลายคนอาจจะเคยเจอกับเหตุการณ์ไปนั่งที่ร้านอาหาร แต่มี “เด็ก” ที่มากับโต๊ะอื่นทำเสียงดังเจี๊ยวจ๊าว จนทำให้รู้สึกว่า “รู้งี้นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่บ้านซะก็ดี”
เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปนี้ เรื่องของเรื่องก็คือเว็บไซต์ 7News จากประเทศออสเตรเลีย ได้เผยแพร่คลิปวิดีโอเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในร้านแมคโดนัลด์แห่งหนึ่ง ในห้าง Thomsons Lake ที่อยู่ในเมือง Perth ประเทศออสเตรเลีย
ในคลิปวิดีโอเราจะเห็นว่าเด็กชายคนหนึ่งมีปัญหากับพนักงานผู้หญิง มีการยืนเถียงกันก่อนเล็กน้อย ก่อนที่เด็กผู้ชายจะสาดมิลค์เชคใส่พนักงาน พร้อมกับขว้างแก้วใส่ด้วย
ตัดภาพมาที่เหตุการณ์ต่อมา เด็กชายคนเดิมปีนขึ้นไปบนเคาทน์เตอร์ ชี้หน้าด่าพนักงานหญิงคนเดิม แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะตอบโต้อะไร
จนกระทั่งมีชายอีกคนเดินเข้ามาด้านหลัง แล้วกระชากตัวของเด็กชายลงไปจากเคาทน์เตอร์อย่างรุนแรง แล้วก็ลากตัวโยนออกไปนอกร้าน
ชมคลิปเหตุการณ์ได้ที่นี่
View this post on Instagram
หากใครไม่เห็นคลิปวิดีโอ ให้จิ้มเข้าไปดูที่ลิงก์นี้ได้เลย
คลิปวิดีโอเหตุการณ์จบลงแต่เพียงเท่านี้ จึงไม่ทราบว่าเหตุการณ์หลังจากนั้นเป็นอย่างไร และชายคนดังกล่าวคือใคร เป็นพนักงานที่ร้าน หรือเป็นลูกค้าที่มาใช้บริการก็ไม่ทราบได้
หลังจากเกิดเหตุดังกล่าวทางสำนักข่าวก็ได้ติดต่อไปยังร้านแมคฯ สาขาที่เกิดเหตุ เพื่อสอบถามก็ทราบว่า หลังจากเกิดเหตุนั้นก็ได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้เข้ามาระงับเหตุแล้ว
ซึ่งตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็จะทำการสืบสวนสอบสวนเรื่องราวต่อไป
ทางด้านโฆษกของแมคฯ ก็ออกมากล่าวว่า “ความปลอดภัยของพนักงาน และลูกค้าของเราคือสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากที่สุด และเราจะไม่ยอมให้เกิดเหตุการณ์ความรุนแรงแบบนี้เกิดขึ้นอีกในร้านของเรา”
และคลิปวิดีโอดังกล่าวก็ถูกเอาไปแชร์ในโลกโซเชียล ทำให้มีผู้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆ นานา โดยจะแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ดังนี้
“บ้างก็บอกว่าเด็กคนนั้นดื้อ นิสัยไม่ดี และสมควรแล้วที่จะต้องถูกสั่งสอน”
“ขณะที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงกว่าเหตุ เด็กคนนั้นไม่สมควรจะถูกกระทำรุนแรงขนาดนี้ แค่ดุ หรือตักเตือนกันด้วยเหตุผลก็น่าจะเพียงพอแล้ว”
แล้วเพื่อนๆ ชาวแคทดั๊มบ์ล่ะครับ? มีความเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้บ้าง? ลองคอมเมนต์เข้ามาแลกเปลี่ยนกันได้เลยนะ
เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว
ที่มา : 7news
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น