CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

นักผจญภัยพบระเบิดโบราณ ที่เคยถูกทิ้งที่ฮาวาย เพื่อเปลี่ยนเส้นทางลาวาในปี 1935

ย้อนกลับไปในช่วงปี 1935 ราวๆ 2 วันหลังจากวันฉลองคริสต์มาส ที่เกาะฮาวายได้เกิดเหตุลาวาจากภูเขาไฟเมานาโลอาไหลทะลักและกำลังจะเข้าท่วมเมืองไฮโล ส่งผลให้ทางสหรัฐอเมริกา จำเป็นของวางแผนด่วนด้วยการส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิด 40 ลูกในพื้นที่เพื่อเปลี่ยนแสนทางของลาวาเหล่านั้น

แน่นอนว่าด้วยจำนวนระเบิดที่มากขนาดนั้น มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ระเบิดบางลูกจะด้านไปบ้าง และหลังจากวันนั้นมาราวๆ 85 ปี นักผจญภัยคนหนึ่งก็บังเอิญพบเข้ากับระเบิดในวันนั้นอีกครั้งแล้ว

 

ภาพหนึ่งในลูกระเบิดที่ภูเขาไฟเมานาโลอา ซึ่งเคยถูกค้นพบเมื่อปี 1977

 

จากรายงานของหอสังเกตการณ์ภูเขาไฟแห่งฮาวาย (Hawaiian Volcano Observatory ) หรือ HVO การค้นพบระเบิดโบราณในครั้งนี้ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมาโดยนักผจญภัยนามว่า Kawika Singson โดยเขาพบระเบิดโบราณเป็นจำนวน 2 ลูกถูกฝังเอาไว้ภายในท่อลาวาพอดี

ระเบิดที่คุณ Singson พบนั้น ในเวลาต่อมาถูกระบุจากทาง HVO ว่าเป็นระบิดที่เราเรียกกันว่า “Pointer bombs” ระเบิดขนาดเล็กที่จะจะถูกทิ้งนำร่อง เพื่อเล็งเป้าหมายให้ ระเบิด MK 1 ซึ่งบรรจุ TNT 161 กิโลกรัมไว้อีกที

อ้างอิง จากข้อมูลในอดีต การทิ้งระเบิดในครั้งนี้ในตอนแรกถือว่าไม่ได้มีผลอย่างที่ทางสหรัฐอเมริกาต้องการมากนัก เพราะพวกมันไม่สามารถเปลี่ยนเส้นทางของลาวาได้สำเร็จ

 

ภาพการทิ้งระเบิดที่ภูเขาไฟเมานาโลอา ในปี 1935

 

อย่างไรก็ตามการทิ้งระเบิดครั้งนี้ก็ช่วยให้ลาวาไหลช้าลงกว่าที่เคยเป็น จนหยุดไหลเร็วขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้เมืองรอดจากภัยพิบัติมาได้ เรียกได้ว่าแม้จะไม่เป็นไปตามแผนแต่การทิ้งระเบิดครั้งนี้ก็ประสบความสำเร็จเช่นกัน

แต่ทั้งนี้เองทาง HVO ก็ออกมาอธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า เรื่องราวการทิ้งระเบิดในวันนั้นอาจจะไม่ได้เป็นสิ่งที่หยุดลาวาอย่างที่เราคิดก็ได้ นั่นเพราะจากการตรวจสอบทางธรณีวิทยาในภายหลังนักวิทยาศาสตร์ก็พบว่าการทิ้งระเบิดในอดีตนั้น แทบจะไม่ได้มีผลอะไรต่อการไหลของลาวาเลย

 

หนึ่งในการปะทุของภูเขาไฟเมานาโลอา

 

ดังนั้นมันจึงมีความเป็นไปได้ว่าจริงๆ แล้วลาวานั้นหยุดไหลไปเอง และความเชื่อที่ว่าการทิ้งระเบิดช่วยหยุดลาวาไว้นั้น ก็อาจจะเป็นเพียงสิ่งที่กองทัพในอดีต คิดไปเองก็เป็นได้

 

ที่มา livescience, mauinow และ dailymail

Comments

ใส่ความเห็น