CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

นักโบราณคดีพบ ฟอสซิลใหม่ของ “Najash rionegrina” งูโบราณ 95 ล้านปีที่ “มีขา”

มันเป็นเรื่องที่ทั้งนักวิทยาศาสตร์และวงการคริสต์ศาสนาเชื่อกันมาอย่างเป็นเวลานานแล้วว่า สัตว์เลื้อยคลานในตระกูลงูนั้น ในจุดจุดหนึ่งอาจจะเคยมีขามาก่อนก็ได้

ดังนั้น นี่จึงถือว่าเป็นข่าวใหญ่ที่น่าสนใจของทั้งสองวงการเลยก็ว่าได้ เมื่อล่าสุดนี้เองวารสาร Science Advances ได้มีการออกมาตีพิมพ์การค้นพบฟอสซิลชิ้นใหม่ของงูโบราณชนิดหนึ่ง ซึ่งมีขาจริงๆ เหมือนที่ระบุไว้ในพระคัมภีร์ไม่มีผิด

 

 

งูสายพันธุ์ดังกล่าวนี้ ถูกค้นพบ ณ พื้นที่ภูมิภาคปาตาโกเนีย ในจังหวัด Río Negro ประเทศอาร์เจนตินา โดยทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยไมโมนิเดส ในปี 2013 และเชื่อกันว่าอาจจะมีอายุได้ตั้งแต่ 95-100 ล้านปี

มันถูกตั้งชื่อโดยนักวิทยาศาสตร์ว่า “Najash rionegrina” โดยอ้างอิงจากชื่อของงูในสวนเอเดน “Nahash ” (ซึ่งก็เป็นภาษาฮิบรูแปลว่างูตรงๆ เลย) และชื่อของจังหวัด Río Negro

 

 

ตัวตนของ Najash rionegrina ถูกระบุถึงเป็นครั้งแรกในวารสาร Nature เมื่อปี 2006 โดยเป็นการอ้างอิงข้อมูลจากชิ้นส่วนเล็กๆ ของกะโหลกศีรษะ และโครงกระดูกร่างกายบางส่วนของมัน

อย่างไรก็ตามต่างไปจากการค้นพบในอดีต ฟอสซิลที่ถูกพบในครั้งนี้ เรียกได้ว่ามีความสมบูรณ์เป็นอย่างมาก  ซึ่งทำให้การเก็บข้อมูลรายละเอียดในครั้งนี้ มีความน่าเชื่อถือกว่าในอดีตอย่างเทียบกันไม่ได้เลย

 

 

อ้างอิงจากทีมวิจัย นอกจากการมีขาหลังงอกออกมาจากส่วนท้ายของร่างกายแล้ว งูตัวนี้ยังมีกระดูกโหนกแก้มปรากฏให้เห็นบนกะโหลกของมันอีกด้วย ซึ่งกระดูกที่ว่านี้ ในปัจจุบันได้หายไปจากสัตว์เลื้อยคลานตระกูลงูโดยสิ้นเชิงแล้ว

“การค้นพบนี้ สนับสนุนแนวคิดที่ว่าในบรรพบุรุษของงูน่าจะเคยมีร่างกายและปากขนาดใหญ่มาก่อน” Fernando Garberoglio ผู้นำทีมวิจัยกล่าว โดยให้ข้อมูลว่าสัตว์ตระกูลงูในอดีต น่าจะเก็บขาหลังของตัวเองเอาไว้เป็นเวลานานกว่าที่เราเคยคิด ก่อนที่จะละทิ้งขาไปโดยสมบูรณ์

 

 

นี่ถือว่าเป็นงานวิจัยที่ช่วยให้เรา เรียนรู้ขั้นตอนการวิวัฒนาการของงู ได้อย่างถูกต้องและมีความน่าเชื่อถืออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนเลยก็ว่าได้

นั่นเพราะนี่นับว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 160 ปีเลย ที่เราสามารถฟันธงลักษณะสำคัญของงูในอดีต โดยมีหลักฐานเป็นที่ประจักษ์ชัดเจน ไม่ใช่เพียงทฤษฎีและการคาดเดา

 

ที่มา livescience, mirror และ Science Advances 


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น