ในอดีตเคยมีคนกล่าวไว้ว่า ภายในสงครามข้อมูลถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้นหากเราหรอกศัตรูได้ เราก็จะชนะสงครามได้ไม่ยากตามไปด้วย
คำกล่าวนี้ ถือว่าเป็นจริงอย่างมากสำหรับปฏิบัติการ “Operation Mincemeat” ของฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะนี้คือปฏิบัติการแผนซ้อนแผนสุดแปลก ที่ทำให้ศพคนตายเพียงคนเดียว สามารถทำให้กองทัพนาซีถูกหลอกกันทั้งกองทัพได้เลย
ที่มาของปฏิบัติการ
Operation Mincemeat เป็นปฏิบัติการย่อยที่อยู่ใน Operation Husky การรุกรานเกาะซิซิลีของฝ่ายสัมพันธมิตรในปี 1943 อีกที โดยเป้าหมายของปฏิบัติการย่อยนี้ คือการส่งมอบข้อมูลที่เป็นเท็จเกี่ยวกับจุดที่ฝ่ายสัมพันธมิตรต้องการจะโจมตี เพื่อหลอกล่อให้ฝ่ายนาซีวางกำลังผิดจุด
โดยแผนการที่ทางอังกฤษคิดขึ้นมาได้ในเวลานั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากความจริงที่ว่าในอดีต มีข้อมูลทางทหารมากมายหลุดไปยังศัตรูเนื่องจากอีกฝ่ายพบศพของทหารที่มีข้อมูลการรบติดตัวอยู่
ดังนั้นทางกองทัพอังกฤษจึงผุดความคิดขึ้นมาว่า มันคงจะดีหากเราสร้าง “ศพทหาร” ที่ตายขึ้นมาเอง และเอาข่าวปลอมให้ศพดังกล่าวถือไว้ โดยจงใจให้ศัตรูเป็นฝ่ายเข้ามาพบศพเสียเอง
การเตรียมการ
แน่นอนว่าเมื่อแผนการถูกคิดค้นขึ้นมาเช่นนี้ กองทัพย่อมต้องการศพที่สามารถนำมาใช้งานในการส่งข่าวปลอมได้ อย่างไรก็ตามศพดังกล่าวไม่ใช่ว่าจะเป็นของใครในสนามรบก็ได้ แต่มันจะต้องเป็นศพที่ยังใหม่ของทหารที่เหมาะสมกับที่จะถือข้อมูลไว้เท่านั้น
การหาตำแหน่งที่เหมาะสมกับการถือข้อมูลนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ยากเท่าไหร่นัก เพราะสิ่งที่ทางกองทัพต้องทำก็มีเพียงแค่การสร้างตัวตนปลอมๆ ของคนคนหนึ่งเท่านั้น แต่ปัญหาสำคัญของพวกเขาคือจะเอาศพของใครที่ไหนมาใช้งานต่างหาก
นับว่าเป็นโชคดีของพวกเขาที่ในเวลานั้น ชายตกงานไร้บ้านนามว่า Glyndwr Michael ได้ดื่มยาเบื่อหนูฆ่าตัวตายพอดี และลักษณะของเขาก็มีความ “เป็นชาวอังกฤษสูง” มากพอที่จะใช้เป็นศพที่ที่ถือข้อมูลเลยด้วย
เริ่มปฏิบัติการ
เมื่อได้ศพที่ต้องการแล้วทางกองทัพก็เริ่มดำเนินการ Operation Mincemeat ในทันที โดยพวกเขาได้มีการปลอมตัวศพเป็น พันตรี William Martin ตัวละครซึ่งถูกตั้งขึ้นให้มีจุดเด่นที่ชื่อโหลๆ ยืนยันตัวยาก ก่อนที่เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองของกองทัพ จะช่วยกันทำประวัติปลอมๆ ให้กับทหารคนนี้
โดยทางกองทัพไม่เพียงแต่จะออกเอกสารยืนยันตัวตนให้กับศพที่ตายไปนานแล้วเท่านั้น แต่พวกเขายังคำนึงลึกไปถึงรายละเอียดอย่างการใส่ภาพภรรยาไปในกระเป๋าผู้ตาย และใช้วิทยุสื่อการของกองทัพ สื่อสารกันแบบปลอมๆ ถึงตัวตนของพันตรี William Martin ในขณะที่ศพของตัวทหารถูกส่งตัวข้ามน้ำแบบลับๆ ไปยังสเปนเลย
ประเทศที่ “เป็นกลาง”
เหตุผลที่ทางกองทัพอังกฤษเลือกสเปนเป็นสถานที่ปฏิบัติการแทนที่จะเป็นสถานที่อื่นซึ่งศัตรูจะพบศพได้ง่ายกว่านั้น มาจากความพยายามที่จะซ่อนแผนการของพวกเขาให้เนียนที่สุด
ดังนั้นแทนที่จะนำศพไปทิ้งตามสนามรบ การทำศพไปทิ้งในประเทศที่มีสถานะทางสงครามที่เป็นกลางแต่มีสายของนาซีอยู่เยอะจึงเป็นอะไรที่ดีกว่า และก็แน่นอนว่าประเทศดังกล่าวก็คือสเปน
อ้างอิงจากบันทึกในอดีต ดูเหมือนว่าผู้ที่เข้าไปพบศพทหารที่ตายไปเป็นคนแรกจะเป็น เจ้าหน้าที่ของประเทศสเปนเอง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดหมายของกองทัพอยู่แล้ว
ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถเล่นละครติดต่อทางสเปนให้ส่งตัวทหารที่ตายกลับอังกฤษในทันที โดยที่ไม่มีการเปิดดูเอกสารใดๆ ของผู้ตาย ภายใต้ความหวังว่าเอกสารที่ว่านี้ จะถูกเปิดอ่านโดยเจ้าแมวอยากรู้อยากเห็นที่ทำงานให้ทางนาซี
ปฏิบัติการเสร็จสิ้น
ทันทีที่ศพถูกส่งกลับมาเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองอังกฤษก็ถึงกับยิ้มกว้าง เพราะซองเอกสารที่พวกเอาดัดแปลงมาเป็นพิเศษมีร่องรอยการถูกเปิดให้เห็น ซึ่งเป็นสัญญาณอันดีว่ามีคนแอบถ่ายภาพข้างในไปแล้ว ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องทำก็มีเพียงแค่ภาวนาให้ข่าวในเอกสารถูกส่งไปถึงเยอรมนีก็เท่านั้น
นับว่าเป็นโชคดีของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองมากที่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ต้องภาวนารอเอกสารดังกล่าวนานนัก
เพราะในช่วงเวลาเดียวกับที่พวกเขาปฏิบัติการอยู่ การถอดรหัสเครื่องอินิกมาก็ทำให้พวกเขาทราบว่า ทางนาซีมีการย้ายกองกำลังร่วม 90,000 นายเกิดขึ้นแล้ว และเป้าหมายของทหารเหล่านั้น ก็เป็นกรีซ สถานที่ที่พวกเขาหวังไว้เสียด้วย
เรื่องราวหลังจากนั้น
ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าในท้ายที่สุดแล้ว Operation Mincemeat ได้ช่วยการรุกรานเกาะซิซิลีของฝ่ายสัมพันธมิตรเอาไว้มากมายสักแค่ไหน อย่างไรก็ตามเราก็คงจะพูดได้เต็มปากว่าในบรรดาทหารร่วม 160,000 ราย ที่เข้าร่วมการบุกยึดซิซิลีนั้น คงมีอยู่หลายคนไม่น้อยเลยที่รอดชีวิตมาได้จากการที่นาซีไม่ได้วางกองทัพในที่ที่ควร
ด้วยเหตุนี้เอง เพื่อเป็นเกียรติให้แก่คุณ Glyndwr Michael ที่ได้ทำประโยชน์แก่ประเทศแม้จะตายไปแล้ว ร่างของเขาจึงได้ถูกฝังแบบทหารเต็มยศ ภายใต้ป้ายหลุมศพที่ระบุไว้ว่า
“Glyndwr Michael รับใช้ชาติในฐานะพันตรี William Martin แห่งราชนาวิกโยธิน”
และเรื่องราวของเขาก็จะถูกจดจำโดยผู้คน ไปอีกนานแสนนานเลย
เรียบเรียงโดย #เหมียวศรัทธา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก bbc, The Modern Rogue, npr และ history
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น