ในช่วงวันที่ 20 เมษายน 2563 ที่ผ่านมา มีการเปิดประเด็นของผอ. จากโรงเรียนแห่งหนึ่งในพื้นที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ พร้อมกับภาพหลักฐานเป็นคลิปการกระทำอนาจารเด็กนักเรียนหญิงภายในโรงเรียน
โดยระบุว่ามีพฤติกรรมล้วงเข้าไปใรนเสื้อเพื่อจับหน้าอกของเด็กนักเรียนหญิง ซึ่งทางโซเชียลเพ่งเล็งไปถึงประเด็นของความสัมพันธเกินเลยระหว่างครูกับศิษย์ และคาดว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง
https://www.facebook.com/chonlaphat.yossupakornchai/posts/1168458853501386
ภายหลังจากภาพและคลิปของ ผอ. คนดังกล่าวหลุดออกมาในโลกออนไลน์ ทางสำนักข่าวเดลินิวส์ รายงานความคืบหน้าจากฝ่าย ผอ. ซึ่งยอมรับตนเป็นชายในคลิปดังกล่าว แต่ไม่ทำกระทำพฤติกรรมอนาจารอะไร อ้างว่าเอื้อมมือไปกดคอมพิวเตอร์เท่านั้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์มีปัญหาและตนเองสายตาไม่ดี จึงต้องก้มๆ เงยๆ อยู่เช่นนั้น
และตนจำไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นเป็นใครเนื่องจากเป็นเหตุการณ์เก่าเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้ว ไม่เข้าใจว่าคนปล่อยคลิปมีจุดประสงค์อะไร และจากมุมกล้องทำให้เข้าใจผิดคิดว่าเป็นอนาจาร โดยจะตามหาต้นตอว่าใครเป็นคนปล่อยคลิปเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
“ก็ดูแล้วก็น่าจะใช่ ปฏิเสธว่าผมไม่ได้ทำอันนั้นกับเด็ก มันจะเป็นในลักษณะที่ว่าเปิดคอมแล้วก็ดูคอม แล้วก็สงสัยผมก็เดินไปบอกเขา ก็แค่นั้นนั่นมันก็ 2 ปีแล้ว แต่ก่อนเคยมีปัญหากับครูคนอื่นอยู่ แต่ไม่มีปัญหากับคนข้างนอก แต่ผมจะเอาเรื่องนะครับ ลองปรึกษาทนายก่อน ถ้าจับได้ก็ต้องแจ้งเหมือนกัน”
ในส่วนของนางขวัญ วัย 55 ปี ยายของเด็กหญิงในคลิปดังกล่าวระบุว่าหลานเป็นคนค่อนข้างดื้อ มักจะไปโรงเรียนเพื่อช่วยงานได้เงินครั้งละ 30-50 บาท แต่ยายห้ามก็ไม่ฟังเพราะโรงเรียนปิดเทอมแล้ว
แต่เมื่อได้เห็นคลิปก็รู้สึกตกใจเพราะไม่คิดว่า ผอ. จะทำอะไรเช่นนี้ เนื่องจากที่ผ่านมามองว่าท่านเป็นคนนิสัยดี แต่ถ้าผิดจริงก็ต้องดำเนินตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดี ในวันนี้ (21 เมษายน 2563) นายบรรเจิด กลิ่นจันทร์ ผอ.สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษา เพชรบูรณ์ เขต 2 ได้เรียกประชุมเพื่อตั้งนิติกรและชุดทำงานตรวจสอบเรื่องนี้
รายงานเบื้องต้นระบุว่าเกิดเหตุที่ห้องพักครู ส่วนคนถ่ายคลิปถ่ายมาจากห้องพักครูที่อยู่ติดกัน มีร่องที่ปิดไม่สนิททำให้ถ่ายคลิปจากมุมนั้นได้
แต่เนื่องจากช่วงนี้ปิดเทอม ผอ. ไม่อยู่โรงเรียน การตรวจสอบข้อเท็จจริงจึงต้องใช้เวลาในการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งการสอบถามผู้อำนวยการและตัวของเด็กนักเรียนที่ถูกก่อเหตุ หากพบว่ามีความผิดจริง ก็จะต้องดำเนินคดีทางวินัย โทษอาจถึงขั้นไล่ออกจากราชการ
ที่มา: @chonlaphat.yossupakornchai, ch3thailandnews, @ThaiSouthNews2
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น