บนเกาะอังกฤษ ไม่มีคดีใดจะสะเทือนขวัญและเต็มไปด้วยปริศนาเท่ากับ “Jack the Ripper” ฆาตกรผู้ก่อเหตุสุดอุกอาจ คร่าชีวิตโสเภณีในบริเวณ Whitechapel ให้จมกองเลือดก่อนหลบหนีไปอย่างไร้ร่องรอย
จนถึงปัจจุบัน เรื่องราวของ Jack the Ripper ยังคงเป็นปริศนาที่เต็มไปด้วยข้อสงสัย เขาเป็นใคร? เหตุจูงใจในการก่อเหตุคืออะไร? และหลบหนีด้วยวิธีไหนจึงไม่สามารถค้นหาเบาะแสได้เลย?
อ่านเรื่องราวเพิ่มเติมของ Jack the Ripper โดยเฉพาะได้ได้ที่นี่
หนึ่งในผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่กลายเป็นที่โจษจันไปทั่วแผ่นดินอังกฤษในเวลานั้น คือเจ้าชาย Albert Victor ดยุคแห่งคลาเรนซ์และเอวอนเดล นัดดาองค์ใหญ่ของควีน Victoria ผู้เป็นรัชทายาทลำดับที่ 3 แห่งบัลลังก์อังกฤษ
ราชวงศ์อังกฤษต้องเผชิญกับเรื่องอื้อฉาวนี้ หลังประชาชนเชื่อว่าข่าวลืออาจมีมูล และบางที ที่ตำรวจไม่อาจเสาะหาตัวจริงของฆาตกรคนนี้ได้อาจเพราะเขาคือชายผู้ที่กฎหมายไม่กล้าแตะต้อง
ในเดือนพฤศจิกายน ปี 1970 นักอาชญาวิทยาได้ตีพิมพ์บทความของ Dr. Thomas Stowell ศัลยแพทย์ผู้กล่าวอ้างว่าเขารู้ความจริงบางอย่างเกี่ยวกับตัวจริงของ Jack the Ripper
โดยเขาอ้างอิงจากชีวิตในวัยเด็ก ที่ Dr. Thomas เป็นเพื่อนกับบุตรสาวของแพทย์หลวงประจำราชวงศ์ และมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาอย่างยาวนาน
ตามคำบอกเล่าของแพทย์หลวงคนดังกล่าว เขาเป็นผู้รักษาโรคซิฟิลิสให้กับเจ้าชาย Albert ซึ่งติดมาจากโสเภณีในหมู่เกาะอินเดียตะวันตก ช่วงปลายทศวรรษ 1880
บ้างก็ว่าเพราะความแค้นที่มีต่อโสเภณีที่ซึ่งนำความเจ็บป่วยมาให้ จึงทำให้เจ้าชายก่อเหตุ หรือผลข้างเคียงของโรคนี้ทำให้เขาเกิดอาการทางประสาทและออกฆ่าคนในยามค่ำคืน และปิดปากผู้บัญชาการตำรวจไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้
แม้ว่า Dr. Thomas จะไม่เคยระบุชื่อผู้ต้องสงสัยไว้ในบทความของเขา แต่ผู้คนก็ตีความกันว่าต้องเป็นเจ้าชายคนสำคัญของอังกฤษอย่างแน่นอน
เหตุผลก็เพราะ เจ้าฟ้าชาย Albert ทรงเป็นหนุ่มเจ้าสำราญ มีคำกล่าวอ้างว่าทรงมีรสนิยมแบบไบเซ็กชวล (ชอบทั้งผู้หญิงและผู้ชาย) ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่าความชมชอบในการท่องราตรีอาจทำให้พระองค์ทรงติดโรคจริงอย่างข่าวลือ
นอกจากนี้ สิ่งที่ช่วยกระพือความน่าเชื่อถือให้มากยิ่งขึ้น คือการเสียชีวิตของ Dr. Thomas ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเพราะเขาอายุ 80 ปลายๆ แล้ว
ทว่าการจากโลกนี้ไปในเวลาไม่นานหลังเปิดเผยเรื่องนี้ อีกทั้งเอกสารทั้งหมดยังถูกเผาโดยลูกชายของเขาซึ่งอ้างว่า “ตรวจดูแล้ว ไม่มีสาระสำคัญอะไร” จึงทำให้มันดูมีความลับซ่อนอยู่เบื้องหลังในเรื่องนี้
เชื่อกันว่ามันเป็นการทำลายหลักฐานจากบันทึกของ Sir William Gull ที่ถวายการรักษาให้กับเจ้าชายนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงข่าวลือที่ไร้หลักฐาน และไม่มีน้ำหนักเพียงพอเนื่องจากหลายๆ เหตุผล ได้แก่..
– มีหลักฐานยืนยันว่าเจ้าชาย Albert ในวัย 28 ชันษา สิ้นพระชนม์เนื่องจากไข้หวัดซึ่งแพร่ระบาดในช่วงเวลานั้น ไม่ใช่โรคซิฟิลิสอย่างที่ลือกัน
– ระหว่างที่เกิดเหตุ เจ้าชายอยู่กับครอบครัว ที่ Sandringham House ในช่วงเวลาที่เกิดเหตุฆาตกรรม จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นผู้ลงมือก่อเหตุ
แม้ว่าในท้ายที่สุด หลังการเสียชีวิตของ Dr. Thomas จะทำให้ข่าวลือนี้เงียบหายไป
ทว่าในปี 1976 ทฤษฎีที่ว่าเจ้าชาย Albert เป็น Jack the Ripper ก็กลับมาเป็นที่โจษจันกันอีกครั้ง
คราวนี้ ต้นตอมาจากนิยายขายดีชื่อ Jack the Ripper: Final Solution ต้นฉบับจากปลายปากกาของ Stephen Knight ซึ่งเขาน่าจะได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่องราวของ Dr. Thomas อีกต่อหนึ่ง
หนังสือเล่มนี้พูดถึงชายหนุ่มไม่ระบุชื่อ ที่อ้างว่าคุณยายของเขาคือหนึ่งในหญิงที่ถูกสังหาร เนื่องจากเป็นภรรยาลับๆ ของเจ้าชาย
จากจุดนี้ทำให้เกิดข่าวลือที่ว่า บางทีเจ้าชาย Albert อาจไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าโสภณีเหล่านั้นด้วยตัวเอง แต่เป็นตัวการที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมด
เนื่องจากพระองค์ดันไปหลงรักสาวขายบริการและแต่งงานกันอย่างลับๆ จนกระทั่งมีทายาทด้วยกัน
เพื่อเป็นการตัดไฟเสียแต่ต้นลม ทางราชวงศ์จึงสั่งให้คนไปจัดการเก็บหลักฐาน รวมถึงปิดปากคนที่รู้เรื่องนี้ให้เงียบไปตลอดกาล แล้วจึงสร้างตำนาน Jack the Ripper เพื่อกลบกระแส
แน่นอน เรื่องนี้ก็เป็นเพียงแค่ข่าวลือที่เพียงสะกิดให้บัลลังก์แห่งอังกฤษรู้สึกขุ่นข้อง ทว่าไม่อาจสั่นคลอนได้เนื่องจากไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ อีกทั้งมันยังดู “เวอร์” เกินกว่าจะเชื่อได้ลง
ท้ายที่สุด มันจึงเป็นเพียงเรื่อหวือหวาที่สร้างทฤษฎีสมคบคิดให้เกิดขึ้นมามากมาย มีความพยายามที่จะหาตัว Jack the Ripper ให้ได้จนถึงปัจจุบัน ทว่าทุกอย่างก็ยังเต็มไปด้วยปริศนา
หรือบางที คดีนี้อาจไม่สามารถไขความกระจ่างได้ ทิ้งไว้เป็นตำนานอันแสนลึกลับให้คงอยู่ในโลกใบนี้?
เรียบเรียง #เหมียวลิตเติ้ล
ที่มา:
– history
Advertisement
0 Comments