เคยได้ยินเรื่องราวของสัตว์ที่ชื่อ “ไทลาซีน” (Thylacinus cynocephalus) หรือที่บางครั้งก็ถูกเรียกว่า “เสือแทสเมเนีย” ไม่ก็ “หมาป่าแทสมาเนีย” กันไหม?
นี่คือสัตว์ที่มีหลังคล้ายเสือแต่มีลักษณะคล้ายหมาป่าหรือสุนัข แต่ดันมีกระเป๋าหน้าท้อง ซึ่งในอดีตถูกล่าอย่างหนักเนื่องจากเป็นอันตรายต่อการเลี้ยงปศุสัตว์ และประกาศสถานะสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการไปตั้งแต่ในปี 1982
โดยไทลาซีนกลุ่มสุดท้ายที่มีอยู่บนโลกนั้น ถูกอนุรักษ์ไว้โดยสวนสัตว์โฮบาร์ตของอังกฤษ อย่างไรก็ตามด้วยการดูแลที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ในเวลานั้น ไทลาซีนตัวสุดท้ายก็ได้ตายจากไปในช่วงปี 1936 อีกที
ดังนั้นเพื่อย้อนรำลึกถึงสัตว์ที่ครั้งหนึ่งเคยมีตัวตนบนโลก ในวันนี้เราจึงจะไปชมภาพถ่ายชุดสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตที่ชื่อไทลาซีนกัน เพื่อที่คุณจะได้ทราบว่าโลกของเรานั้น ต้องเสียสิ่งมีชีวิตแบบไหนไปบ้าง
เรามาเริ่มกันจากภาพของไทลาซีนในแทสเมเนียเมื่อปี 1935
พวกมันมีถิ่นกำเนิดในแทสเมเนีย นิวกินี และออสเตรเลีย
พวกมันสามารถอ้าขากรรไกรได้กว้างถึง 80 องศา
และได้สูญพันธุ์ไปจากแผ่นดินออสเตรเลียก่อนที่อังกฤษจะตั้งถิ่นฐานในทวีปนี้
อย่างไรก็ตามในพื้นที่เกาะแทสเมเนีย ไทลาซีนกลับยังสามารถถูกพบเห็นได้แพร่หลาย
แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้พวกมันจะถูกล่าอย่างหนักในช่วงปี 1830-1920 ตามไปด้วย
(ภาพนี้เป็นของนักล่าไม่ระบุนามกับไทลาซีนเมื่อปี 1925)
นี่ยังไม่นับเรื่องปัจจุบันอื่นๆ อย่างความอ่อนแอของ DNA และโรคร้ายต่างๆ ที่มันต้องเผชิญอีก
(ภาพไทลาซีน 4 ตัวจากเมื่อปี 1910)
ซึ่งปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลนี้เองก็ทำให้ในช่วงปี 1930 เป็นต้นมาไทลาซีนก็แทบจะพบเห็นได้แค่ในสวนสัตว์
(ภาพครอบครัวไทลาซีนจากเมื่อปี 1909)
และด้วยการดูแลที่ไม่ดีนักในท้ายที่สุดแม้แต่ไทลาซีนตัวสุดท้ายก็ต้องตายจากไปในปี 1936
และส่งผลให้ในปัจจุบันเราจะเห็นสัตว์ชนิดนี้ได้ในสภาพของรูปถ่าย หรือไม่ก็ร่างกายที่ถูกเก็บรักษาไว้ก็เท่านั้น
แต่ถึงแม้การสูญพันธุ์ไปของไทลาซีนจะเป็นอะไรที่น่าเศร้าก็ตาม เราก็ยังไม่ใช่หมดความหวังที่จะได้เห็นพวกมันอีกเช่นกัน
นั่นเพราะตั้งแต่ในช่วงปี 2016 เป็นต้นมา เราได้เริ่มมีรายงานการพบเป็นสัตว์ชนิดนี้ในป่าทางตอนใต้ของออสเตรเลียกันอีกครั้ง แถมโครงการของหลายๆ ที่เองยังเริ่มพยายามที่จะคืนชีพให้สัตว์ชนิดนี้ด้วยการโคลนนิ่งด้วย
วิดีโอชุดสุดท้ายของไทลาซีนจาก Guardian News
ดังนั้น หากว่าเราโชคดีจริงๆ เราก็อาจจะได้มีโอกาสเห็นสัตว์ชนิดนี้กลับมาอาศัยอยู่บนโลกอีกครั้งก็เป็นได้
ที่มา rarehistoricalphotos, britannica
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น