ในช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ในโลกวงการวิทยาศาสตร์ได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งกำลังกลายเป็นที่พูดถึงและเขย่าวงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก
เมื่อวารสาร Open Access Macedonian Journal of Medical Sciences ได้ทำการตีพิมพ์งานวิจัยชิ้นหนึ่งที่มีเนื้อหาโดยสรุปว่า
ที่กลางโลกของเรานั้น จริงๆ แล้วยังมีวัตถุคล้าย “หลุมดำ” อยู่ และมันก็อาจจะเป็นสิ่งที่อยู่เบื้องหลังวัสดุชีวภาพหลายอย่างของโลกเช่น DNA ของมนุษย์เสียด้วย
“เมื่อเร็ว ๆ นี้นักวิทยาศาสตร์บางคนจาก NASA ได้อ้างว่า อาจมีโครงสร้างคล้ายหลุมดำอยู่ที่ใจกลางโลก” ทีมนักวิทยาศาสตร์ระบุไว้ตอนต้นของงานวิจัย
โดยงานวิจัยนี้นอกจากจะอ้างว่าที่กลางโลกมีหลุมดำแล้ว มันยังได้อ้างถึงทฤษฎีสมคบคิด และข้อมูลที่ไม่มีอยู่จริงอีกหลายข้อ

อย่างหนึ่งในรูปที่ใช้ในการวิจัยได้ระบุไว้ว่า “โมเลกุลหกเหลี่ยมแต่ละโมเลกุลเกิดจากการรวมสายหกเส้น” ซึ่งไม่ได้ให้ข้อมูลสำคัญใดๆ เลย หรือภาพตัวต้นของ “Dark DNA” ที่เป็นเพียงการนำ DNA มา กลับด้านเท่านั้น

ตัวงานวิจัยนี้ แปลกจนถึงขนาดที่ว่าเมื่อคุณ Paul Byrne รองศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์ดาวเคราะห์จาก มหาวิทยาลัยแห่งรัฐนอร์ทแคโรไลนามาเห็นงานวิจัยนี้เข้าเขาก็ถึงกับต้องออกมาแสดงความเห็นเลยว่า
“นี่มัน… (จริงจังเลยนะ) *เควี่ยอะไรเนี่ย*”
What
(and I cannot stress this enough)
*the fuck*https://t.co/bt2d8ebryg
— Paul Byrne (@ThePlanetaryGuy) September 22, 2020
แน่นอนว่าอ่านมาถึงตรงนี้หลายๆ คนก็คงอาจจะเริ่มสงสัยกันแล้วว่างานวิจัยที่เละขนาดนี้ ตกลงแล้วมันได้รับการตีพิมพ์มาได้อย่างไร
ซึ่งสำหรับข้อมูลในจุดนี้ คุณ Sarah Rasmussen นักคณิตศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า
จริงๆ แล้วงานวิจัยในครั้งนี้มีเป้าหมายในการออกมา “เปิดโปง” วารสารบางเล่มที่รับงานวิจัยมาตีพิมพ์ว่า “ผ่านการพิชญพิจารณ์ ” เพื่อเงินโดยไม่ได้สนใจเนื้อหาของมันจริงๆ และดูเหมือนว่ามันจะได้ผลเป็นอย่างดีเลยด้วย
ดังนั้น แน่นอนว่าเรื่องหลุมดำกลางโลกใน “งานวิจัย” ชิ้นหนึ่งจึงเป็นเรื่องที่โกหกขึ้นล้วนๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตามหากเราสังเกตกันว่างานวิจัยนี้จริงๆ แล้วออกมาตั้งแต่ในปี 2019
มันก็ทำให้เกิดคำถามได้เป็นอย่างดีว่าวารสาร Open Access Macedonian Journal of Medical Sciences ปล่อยของแบบนี้เอาไว้ได้อย่างไร เป็นเวลากว่า 1 ปี
และในอนาคตเราจะเชื่อถืองานวิจัยที่ผ่านการพิชญพิจารณ์แล้ว ได้จริงๆ เช่นนั้นเหรอ?
https://twitter.com/_Astro_Nerd_/status/1308502419094024193
ที่มา futurism, iflscience
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น