ลึกลงไปใต้ผืนน้ำลึกของมหาสมุทรในอดีต ยังมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ จำนวนหนึ่งอาศัยอยู่โดยที่ไม่มีอาหาร และมีออกซิเจนแค่เพียงพอที่จะทำให้พวกมันมีชีวิตอยู่ต่อไป
เพื่อที่จะเอาชีวิตรอดจากภาวะเหล่านั้น จุลินทรีย์ใต้ทะเลดังกล่าวจึงเลือกที่จะเข้าสู่ภาวะจำศีล และคงสภาพกึงตายเช่นนั้นเรื่อยมาเป็นเวลากว่า 100 ล้านปี
แต่แล้วเมื่อล่าสุดนี้เอง การนอนหลับอย่างยาวนานของจุลินทรีย์ใต้ทะเลเหล่านี้ ก็ต้องมาถึงจุดสิ้นสุดลงจนได้
เมื่อในวันที่ 28 กรกฎาคม ค.ศ. 2020 ที่ผ่านมานี้เอง ทีมนักวิทยาศาสตร์จากญี่ปุ่นได้ออกมาประกาศว่า พวกเขาสามารถ “คืนชีพ” ให้จุลินทรีย์โบราณที่หลับไปไปได้แล้ว และมันก็นำมาซึ่งความรู้ที่น่าสนใจหลายข้อเลย
อ้างอิงจากสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทะเลแห่งญี่ปุ่นผู้จัดทำงานวิจัยในครั้งนี้ พวกเขาได้พบตัวอย่างจุลินทรีย์ใต้ทะเลที่หลับใหลอยู่ในชั้นตะกอน ลึกลงไปราวๆ 5,700 เมตรใต้มหาสุทรแปซิฟิก
โดยในตอนแรกพวกเขาพบว่าจุลินทรีย์ที่ตัวเองพบแทบจะไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เป็นพิเศษราวกับว่าตายไปแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นพวกมันก็ยังมีสัญญาณว่ายังคงมีชีวิตอยู่เช่นกัน
ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะนำจุลินทรีย์ที่พบไปเพาะเลี้ยงในสภาพอากาศที่เหมาะสมของห้องเล็บดู
และก็เป็นที่นั่นเอง ที่พวกเขาพบว่าจุลินทรีย์ที่พวกเขาได้มานั้น สามารถตื่นขึ้นมามีชีวิตและขยายพันธุ์อีกครั้งได้ แม้ว่าพวกมันจะไม่เคลื่อนไหวเลยมาหลายรอยล้านปีก็ตาม
วิดีโอการทดลองจาก NPG Press
“ในตอนที่ฉันเห็นผลการทดลองครั้งแรก ผมถึงกับสงสัยว่าการค้นพบมาจากความผิดพลาดหรือความล้มเหลวในการทดสอบเลย” คุณ Yuki Morono ผู้นำการทดลองกล่าว
“แต่ในตอนนี้เรารู้แล้วว่ามันไม่มีข้อจำกัดด้านอายุสำหรับสิ่งมีชีวิตในระบบชีวภาคใต้ทะเล”
แน่นอนว่าเมื่อรายงานชิ้นนี้ได้รับการเฉยแพร่ออกไป เรื่องที่เกิดขึ้นก็สร้างความสนใจให้กับชาวอินเทอร์เน็ตเป็นอย่างมาก
โดยหลายๆ คนล้อเล่นกับสถานการณ์ในปัจจุบันว่าเราไม่ควรไปปลุกจุลินทรีย์เหล่านี้ขึ้นมานะ เพราะในปีนี้เราก็มีโรคร้ายมากพออยู่แล้ว
แต่ในขณะเดียวกันมันก็มีคนไม่น้อยที่ทึ่งในความสามารถการเอาตัวรอด และชีวิตอันยืนยาวของจุลินทรีย์ที่พบ
และทั้งนี้เองแม้ว่าการปลุกจุลินทรีย์เก่าแก่ในครั้งนี้จะถือเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมาก มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่มนุษย์พบว่าจุลินทรีย์จะสามารถเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายมากๆ ได้
ดังนั้น ไม่แน่เหมือนกันว่าการศึกษาสิ่งมีชีวิตที่ดูจะเรียบง่ายไม่ซับซ้อนเหล่านี้ อาจจะเป็นกุญแจสำคัญไปสู่การวิวัฒนาการอีกขั้นของมนุษย์ชาติเลยก็เป็นได้
ที่มา iflscience, sciencemag, sciencealert และ bbc
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น