เนื่องด้วยปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้โรงงานอุตสาหกรรมในหลายประเทศจำเป็นต้องปิดตัวลงเชื่อคราว
และการปิดตัวนั้นก็อาจส่งผลกระทบในระยะยาวได้ หนึ่งในผลกระทบนั้นปรากฏอยู่ในคำพูดของทางบริษัทสัญชาติมาเลเซีย Karex Bhd ที่บอกว่า “ปัญหาการขาดแคลนถุงยางกำลังคืบคลานเข้ามาแล้ว”
Karex Bhd (หรือ Karex Berhad) ถือว่าเป็นบริษัทผู้ผลิตถุงยางรายใหญ่ที่สุดในโลก คิดเป็น 1 ใน 5 ของทั้งหมด ทว่าโรงงานการผลิตของพวกเขาทั้ง 3 แห่งในมาเลเซียจำเป็นต้องปิดตัวมานานกว่า 1 สัปดาห์แล้ว
หลายคนคงพอเดาได้ว่าการปิดตัวที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ทางประเทศมาเลเซีย ต้องออกมาตรการให้ผู้คนกักตัวอยู่แต่ภายในบ้าน ยาวไปจนถึงวันที่ 13 เมษายน 2020
และนั่นส่งผลให้เกิดการขาดแคลนถุงยางไปไม่น้อยกว่า 100 ล้านชิ้น
หากยังไม่เห็นภาพ ลองคิดดูว่าโรงงานที่ปิดตัวอยู่นั้นถือเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตสินค้าให้กับถุงยางอนามัยที่หลายคนรู้จักอย่าง Durex และแบรนด์อื่นๆ
รวมถึงยังผลิตส่งให้แก่ระบบสาธารณสุขในอังกฤษ รวมถึงแบ่งไปให้กับทางโปรแกรมการช่วยเหลือต่างๆ ที่ต้องการอย่างกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ
เพราะฉะนั้นการปิดโรงงานชั่วคราวของพวกเขาจึงส่งผลกระทบไปยังทั่วโลก
ถึงอย่างนั้น ล่าสุด (27 มีนาคม 2020) พวกเขาก็ได้ออกมาชี้แจงแล้วว่าทางโรงงานนั้นได้รับอนุญาตให้กลับมาเริ่มต้นการผลิตต่อแล้ว แต่ทางภาครัฐตั้งเงื่อนไขให้ในช่วงนี้พวกเขาใช้กำลังการผลิตได้แค่ 50% เท่านั้น
Goh Miah Kiat ผู้บริหารระดับสูงของทางบริษัท กล่าวว่า…
“เราต้องใช้เวลาสำหรับการเริ่มต้นใหม่ด้วยกำลังการผลิตเพียงแค่ครึ่งเดียว และนั่นก็ทำให้ผมกังวลว่า ปัญหาการขาดแคลนถุงยางที่เริ่มเห็นได้ชัดนี้จะเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ 2 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน แต่อาจติดต่อกันนานหลายเดือน”
อย่างไรก็ตาม ทางบริษัท Durex ก็ได้ออกมาบอกว่าพวกเขายังคงวางขายสินค้าตามปกติ โดยที่ไม่ประสบกับปัญหาภาวะขาดแคลนแต่อย่างใด…
“สำหรับลูกค้าของเรา หากใครไม่สามารถเข้าถึงร้านค้าได้ คุณก็สามารถสั่งซื้อสินค้า Durex ได้ทางช็อปออนไลน์ที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่ ณ ขณะนี้”
สุดท้ายแล้ว Goh Miah Kiat ก็พูดติดตลกขึ้นมาเกี่ยวกับปัญหาภาวะขาดแคลนที่ค่อยๆ คืบคลานเข้ามานี้ว่า…
“เรื่องดีก็คือความต้องการในตลาดของถุงยางอนามัยนั้นยังคงสูงเหมือนเดิม เพราะถึงยังไงผู้คนก็ยังมองว่ามันคือสิ่งสำคัญ คนจำนวนมากยังไม่ได้วางแผนที่จะมีลูก ยิ่งเป็นช่วงเวลาแบบนี้ด้วยแล้วล่ะนะ”
เรียบเรียงโดย #เหมียวตะปู
ที่มา: Reuters , TheGuardian , NewYorkPost
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น