เคยได้ยินเรื่องการรับมือกับโรคโควิด-19 ด้วย “ภูมิคุ้มกันหมู่” (Herd Immunity) กันไหม?
นี่คือการใช้ประชากรที่มีภูมิคุ้มกันจำนวนมาก ไม่ว่าจะจากวัคซีนหรือตามธรรมชาติ เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไวรัส เนื่องจากเชื้อโรคแพร่ไปสู่คนที่เสี่ยงต่อการติดโรคคนอื่นได้ยากนั่นเอง
วิธีการนี้ แม้ว่าจะมีนักวิทยาศาสตร์หลายกลุ่มออกมาบอกว่าอาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง แต่ในช่วงก่อนก็มีหลายประเทศเช่นกันที่หันมาใช้วิธีดังกล่าวรับมือกับโควิด ซึ่งก็ร่วมไปถึงประเทศอย่างสวีเดนด้วย
ดังนั้นนี่จึงอาจจะเป็นข่าวใหญ่ที่ไม่ค่อยเีเท่าไหร่ของประเทศเลยก็ได้ เมื่อล่าสุดนี้เองสมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กุสตาฟประมุของค์ปัจจุบันของสวีเดนได้ออกมาประกาศว่า
การใช้ระบบภูมิคุ้มกันหมู่รับมือกับโรคโควิด-19 ในประเทศนั้น อาจได้จบลงด้วยความล้มเหลวแล้ว
“ข้าพเจ้าคิดว่าเราล้มเหลวแล้ว เรามีผู้เสียชีวิตจำนวนมากอย่างน่ากลัว นี่คือสิ่งที่พวกเราทุกคนกำลังต้องประสบ” สมเด็จพระราชาธิบดีคาร์ลที่ 16 กล่าวในการให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม
โดยการเปิดเผยในครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่นาย Stefan Löfven นายกรัฐมนตรีของสวีเดนออกมาระบุว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขของประเทศได้วินิจฉัยการระบาดอย่างผิดๆ มาตลอด
แทนที่จะใช้การเลือกใช้มาตรการปิดกั้นที่เข้มงวด หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม พวกเขากลับเลือกที่จะใช้ระบบภูมิคุ้มกันหมู่รับมือกับโรคดังกล่าว ทั้งๆ ที่ในเวลานั้น วัคซีนยังไม่สำเร็จดีด้วยซ้ำ
“การปิดตัว การปิดกั้น การปิดพรมแดน สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรที่มีประวัติมูลฐานทางววิทยาศาสตรืในความคิดของผม” นาย Anders Tegnell นักระบาดวิทยาของสวีเดนกล่าวไว้ในเดือนเมษายน 2020
น่าเสียดายที่วิธีการของสวีเดนนั้น ดูเหมือนจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะการใช้วิธีดังกล่าวในตอนที่วัคซีนยังไม่สำเร็จได้ทำให้ไวรัสแพร่กระจายผ่านประชากรไปเร็วเสียยิ่งกว่าที่ควรเป็น
ในขระที่คนในประเทศมีเพียงแค่ 6.1% เท่านั้น ที่ร่างกายมีการพัฒนาแอนติบอดีต่อไวรัส SARS-CoV-2 จริงๆ
นี่ส่งผลให้ในประเทศมีคนติดโควิด-19 มากถึง 360,000 เคส มีจำนวนผู้เสียชีวิตเกือบ 8,000 ราย นับเป็นอัตราการเสียชีวิตถึง 2.2%
มากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่างเดนมาร์ก (0.8%) และนอร์เวย์ (1.5%) และว่ากันตามตรงอัตราการเสียชีวิตของสวีเดนนั้นสูงกว่า สหรัฐอเมริกา (1.8%) ประเทศซึ่งมีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 มากที่สุดในโลกเสียอีก
ดังนั้นในปัจจุบันทางสวีเดนจึงกำลังตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแนวทางการรับมือกับโรคของประเทศอีกครั้ง และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะแก้ไขปัญหาที่กำลังลุกลามในประเทศได้ ก่อนที่มันจะสายเกินไป
ที่มา iflscience และ bbc
ใส่ความเห็น
คุณต้องเข้าสู่ระบบ เพื่อจะพิมพ์ความเห็น