มุมมองของสังคมที่มีต่อการร้องไห้ส่วนใหญ่ มักจะมองในแง่มุมของความอ่อนแอ ไม่มีความอดทนอดกลั้นต่อสิ่งต่างๆ ทว่าในทางกลับกันแล้วมันคือปฏิกิริยาปกติของมนุษย์ ที่แสดงออกมาผ่านทางน้ำตาได้ในหลากหลายความหมาย
BBC Reel นำเสนอเรื่องราวของ ฮิเดะฟูมิ โยชิดะ วัย 45 ปี ‘ครูสอนร้องไห้’ สนับสนุนให้คนบีบน้ำตาออกมาเล็กๆ น้อยๆ ในทุกๆ วันเพื่อเป็นการผ่อนคลายตนเอง ระบายความเครียด และนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุข
https://www.facebook.com/photo.php?fbid=4544572442250757&set=pb.100000941394462.-2207520000..&type=3&theater
สำหรับชาวญี่ปุ่นเองมักจะเป็นกลุ่มชนชาติที่มีแนวโน้มร้องไห้น้อยมากที่สุด และการร้องไห้ในสังคมญี่ปุ่นเองจะถูกมองในแง่ลบมากกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียด้วย
คุณฮิเดะฟูมิ ระบุว่าเขาได้ทุ่มเทชีวิตเกือบ 8 ปี เพื่อสอนให้คนได้รู้จักที่จะร้องไห้อีกครั้ง จากที่เมื่อก่อนคนญี่ปุ่นมักจะร้องไห้ได้ง่าย
แต่สังคมเริ่มเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อน้ำตาจนทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ไม่แสดงความรู้สึกผ่านการร้องไห้ จนทำให้ถูกมองว่าเป็นเรื่องที่น่าอับอาย
เขาจึงพยายามที่จะเปลี่ยนทัศนคติเช่นนี้ต่อสังคม ด้วยการให้ความรู้ถึงประโยชน์ของการร้องไห้ ที่เป็นอีกหนึ่งวิธีในการผ่อนคลายและเอาชนะความเครียด
เขาระบุว่าช่วยสอนคนให้รู้จักกับการร้องไห้อีกครั้งไปกว่า 50,000 คนแล้ว จากระยะเวลาที่ผ่านมาทั้งหมด 7 ปีครึ่ง
จากอดีตครูสอนโรงเรียนมัธยมปลาย กลายมาเป็นครูสอนร้องไห้ ด้วยเทคนิคพิเศษที่เรียกว่า ‘rui-katsu’ หรือการเค้นน้ำตา
เขามักจะจัดคอร์สสอนไปทั่วประเทศ ให้ความรู้ถึงประโยชน์ในการบีบน้ำตาหนึ่งหยดต่อสัปดาห์ และสอนวิธีบีบน้ำตาออกมา
“หากคุณร้องไห้หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ คุณจะมีชีวิตที่ปราศจากความเครียด การร้องไห้ช่วยลดความเครียดได้มากกว่าการหัวเราะหรือนอนหลับอีกครับ”
เขาอธิบายว่าการร้องไห้จะเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิตอย่างมาก เพราะจะเป็นการกระตุ้นการทำงานของเส้นประสาท ลดอัตราการเต้นของหัวใจ และมีผลทำให้จิตใจผ่อนคลายลง
ยิ่งร้องไห้หนักแค่ไหนก็จะรู้สึกดีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคร่ำคราญก็ยิ่งดี แม้จะหลั่งน้ำตาเพียงหยดเดียวก็สามารถสร้างความมหัศจรรย์ให้กับสุขภาพร่างกายได้
แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับการร้องไห้ แค่มีน้ำตาไหลออกมายังไม่พอ… ต้องคร่ำครวญออกมาเลย

คุณฮิเดะฟูมิระบุถึงประเภทของน้ำตาที่ถูกบีบออกมานั้นก็มีความสำคัญ เพราะหากน้ำตาที่ออกมามาจากอารมณ์เพียงชั่ววูบอย่างการดูละครดราม่าหรือหนังรักโรแมนติก น้ำตาแตกจากการอ่านหนังสือหรือฟังเพลงโดนใจ นั่นคือน้ำตาที่ดีต่อใจ
ส่วนการร้องไห้ที่มาจากความเศร้าโศกนั้นจะมีความต่างออกไป เพราะมันจะบังคับให้เราจมอยู่กับความเศร้า และจะส่งผลลบตามมาในภายหลัง

แม้ว่าฮิเดะฟูมิสอนให้คนรู้จักประโยชน์ของการร้องไห้มาเกือบ 8 ปี แต่การมาเป็นครูสอนร้องไห้อย่างจริงจังของเขาเริ่มต้นในปี 2015 หลังจากที่ประเทศญี่ปุ่นได้เริ่มโครงการตรวจสอบความเครียดในบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 50 คนขึ้นไป
ตั้งแต่นั้นมา เขาก็พยายามไปสอนเรื่องน้ำตาให้กับบริษัทเหล่านั้นและหน่วยงานที่ต้องการ เพื่อให้คนได้รู้จักกับน้ำตาให้มากขึ้นและเทคนิคในการบีบน้ำตาคลายความเครียด
“งานของผมคือการทำให้คนรู้สึกสดชื่นจากการร้องไห้ ผมสอนคนไปแล้วกว่า 50,000 คนตลอด 7 ปีครึ่งที่ผ่านมา ผมใช้ทั้งภาพยนตร์ หนังสือเด็ก และจดหมายในการทำให้คนร้องไห้
ผมเลือกภาพยนตร์ที่มีแนวต่างกันไป อย่างเช่นแนวครอบครัว แนวสัตว์โลก แนวนักกีฬา หรือธรรมชาติ บางคนร้องไห้ออกมาเมื่อได้ชมฉากที่สวยงามของธรรมชาติก็มีครับ”

“ฉันไม่แน่ใจว่าผมจะร้องไห้ได้จริงๆ รึเปล่า ฉันประหลาดใจมากที่พบว่าตัวเองเต็มไปด้วยอารมณ์อ่อนไหวและร้องไห้ออกมาในจุดที่รู้สึกเจ็บปวด หลังจากนั้นผมก็รู้สึกสดชื่นเหมือนได้อาบน้ำเลยครับ” หนึ่งในผู้เข้าร่วมเรียนคอร์สร้องไห้กล่าว
เรียบเรียง #เหมียวเลเซอร์
ที่มา: BBC Reel, japantimes, nytimes
Advertisement