CatDumb – แคทดั๊มบ์ | เล่าเรื่องน่าสนใจให้คุณฟังง่ายๆ พร้อมคอนเทนต์พิเศษบ้างเป็นบางเวลา…

ย้อนรอย “Ted Bundy” ปีศาจในคราบหนุ่มหล่อ ผู้สังหารโหดหญิงสาวไปกว่า 30 ราย

ย้อนกลับไปในอดีต ในช่วงปี 1974-1978 ตำรวจในรัฐแถบแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ (แถวๆ บริติชโคลัมเบีย ไอดาโฮ โอเรกอน และวอชิงตัน) ได้พบกับเรื่องน่าปวดหัว

เมื่อสาวมหาวิทยาลัยในพื้นที่เริ่มหายตัวไปอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อเวลาเดินไปถึงปี 1978 เราก็มีผู้หญิงหายตัวไปในรูปแบบนี้อย่างต่ำๆ ถึง 30 ราย

แต่ใครจะไปคิดกัน ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของหญิงสาวเหล่านี้ แท้จริงแล้วจะเป็นชายเพียงคนเดียว… ปีศาจในคราบหนุ่มหล่อนามว่า “Ted Bundy”

 

 

Theodore Robert Bundy (ชื่อเดิม Theodore Robert Cowell) เกิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 1946

โดยเขาเป็นคนที่ไม่เพียงแต่จะรูปร่างหน้าตาหล่อเท่านั้น แต่ยังเป็นนักเรียนตัวอย่างดูสุภาพและฉลาดเฉลียว เรียนจบจากมหาวิทยาลัยในวอชิงตันและยูทาห์ด้วย

อย่างไรก็ตามตรงข้ามกับรูปร่างหน้าตาของเขา ชายคนนี้เรียกได้ว่าเป็นปีศาจในคราบมนุษย์เลยก็คงไม่ผิดนัก เพราะตั้งแต่ที่เขาอายุได้ 27 ปี ชายคนนี้ ก็เริ่มที่จะเผยความมืดในใจ

ในช่วงต้นปี 1974 Bundy ได้บุกเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ของหญิงวัย 18 ปี นาม Karen Sparks โดยเขาทุบเธอจนหมดสติด้วยเหล็กขาเตียง ก่อนจะกระทำชำเราเธอด้วยวัตถุเดียวกัน

ส่งผลให้เธอต้องโคม่าเป็นเวลา 10 วัน และพิการถาวรจากบาดแผลในเวลานั้น

 

Karen Sparks

 

อย่างไรก็ตามดูเหมือน Bundy จะไม่พอใจกับการลงมือในเวลานั้นเท่าไหร่ เพราะไม่กี่สัปดาห์ต่อมา Bundy ก็ลงมือบุกเข้าไปในอะพาร์ตเมนต์ของหญิงชื่อ Lynda Ann Healy

ก่อนที่จะทุบเธอจนหมดสติและลักพาตัวเธอไปกักตัว สังหาร ก่อนจะนำศพของเธอไปทิ้งด้วยความแยบยลระดับที่ว่ากว่าตำรวจจะหากะโหลกของเธอพบ มันก็อีกหลายปีหลังจากที่เธอตายเลย

 

 

นับตั้งแต่วันนั้นมา Bundy ก็ราวกับว่าเสพติดการสังหารหญิงสาวเลยไม่มีผิด เขามักจะใช้ความหน้าตาดีของตัวเองขับรถออกไปใช้เสน่ห์พูดจาล่อลวงหญิงสาวเพื่อลักพาตัวไปทรมานและข่มขืน ก่อนที่จะสังหารทิ้ง

เขานั้นดูไร้พิษภัยมากถึงขนาดที่แม้จะมีชื่อในลิสต์ผู้ต้องสงสัยที่เคยพบเหยื่อที่หายตัวไป แต่ตำรวจก็มักปัดข้อสงสัยของเขาทิ้งเพราะคิดว่าเด็กเรียนดีแบบนี้คงไม่ทำผิดกันเลย

 

 

แต่ก็เช่นเดียวกับฆาตรกรต่อเนื่องที่ถูกจับคนอื่นๆ ในที่สุด Bundy ก็ก็เริ่มโผล่หางจนถูกสงสัยโดยเจ้าหน้าที่จนได้

นั่นเพราะในปี 1975 เขาได้ถูกจับกุมข้อหากระทำผิดกฎจราจร จนทำให้เจ้าหน้าที่ค้นรถของเขา และพบทั้งหมวกโม่ง ถุงมือ ถุงขยะ และอุกรณ์น่าสงสัยอื่นๆ ซึ่งแม้มันจะไม่มากพอจะเอาผิดชายคนนี้ได้

แต่เมื่อถูกปล่อยตัว Bundy กลับพยายามขายรถทิ้งอย่างมีพิรุธมาก กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ตำรวจได้ตัดสินใจที่จะเริ่มเฝ้าระวังชายคนนี้

ก่อนจะนำรถที่ถูกขายมาตรวจสอบและพบร่องรอยเส้นผมผู้หญิงที่หายไปบนรถ นำไปสู่การจับกุม Bundy ในที่สุด

 

 

ปัญหาคือการจับกุมตัวที่เกิดขึ้น กลับไม่สามารถหยุด Bundy จากการออกล่าสังหารหญิงสาวได้นานนัก

เพราะในปี 1977 ชายคนนี้ก็สามารถหนีจากตำรวจในระหว่างขั้นตอนการขึ้นศาลไปกบดานที่เขา Aspen Mountain ได้สำเร็จ

และแม้เขาจะถูกจับตัวกลับมาในเวลาแค่ 6 วัน แต่ในปี 1978 เขาก็หนีจากห้องขังได้อีกครั้ง และในครั้งนี้เขาก็ไม่รีรอ มุ่งหน้าไปกบดานที่ฟลอริดา และฉุดผู้หญิงอีกร่วม 6 ราย

ซึ่งครึ่งหนึ่งต่อมาถูกเขาสังหาร ในขณะที่อีกครึ่งรอดมาได้เพราะตำรวจเข้าจับกุมเขาอีกครั้งได้ทันท่วงที

 

 

ในระหว่างการไต่สวนคดีที่เกิดขึ้น แม้ Bundy จะสารภาพว่าลงมือฆ่าเหยื่อทั้งสิ้น 30 ราย ในวอชิงตัน โอเรกอน ยูทาห์ โคโลราโด ไอดาโฮ และฟลอริดา ด้วยวิธีการอันสยดสยอง แต่เจ้าตัวก็แทบไม่เคยรู้สึกผิดเท่าไหร่เลย

ด้วยเหตุนี้เอง Bundy จึงโดนศาลตัดสินโทษประหารชีวิตในการไต่สวนทั้ง 3 ครั้ง

แต่ก่อนที่วันตายของเขามาถึง ชายคนนี้ก็ได้ทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่ออีกเรื่องหนึ่ง นั่นเพราะ ในปี 1986 ระหว่างที่ Bundy นั่งรอความตายอยู่ในคุก

เขาได้ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้กับทางตำรวจ เกี่ยวกับคดีของฆาตกรต่อเนื่องแห่ง Green River (ชื่อจริง Gary Ridgway) ก่อนที่ต่อมาเขาจะมีโอกาสร่วมมือในการสืบสวนด้วยการอธิบายแนวคิดของฆาตกร

แม้ว่าความช่วยเหลือในเวลานั้นจะถือว่าไม่มากนัก และกว่าที่ฆาตกรดังกล่าวจะถูกจับจริงๆ มันก็ในปี 2001 ก็ตาม

 

Gary Ridgway ฆาตกรต่อเนื่องแห่ง Green River ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตจากการสังหารผู้หญิงอย่างต่ำ 49 ราย

 

ในท้ายที่สุด Bundy  ก็ถูกนำตัวไปประหารด้วยเก้าอี้ไฟฟ้าในเช้าของวันที่ 24 มกราคม 1989 และทิ้งเอาไว้เพียงชื่อของหนึ่งในฆาตกรโฉด ที่ได้รับการขนานนามว่ามีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาก็เท่านั้น

 

ที่มา allthatsinteresting, biography


Posted

in

by

Tags:

Comments

ใส่ความเห็น